จีนอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม หลังตัวเลขส่งออก-นำเข้าเดือนสิงหาคมต่ำกว่าคาด

ตัวเลขการส่งออก-นำเข้าของจีนในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแย่กว่าคาด อาจทำให้รัฐบาลจีนออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม

Shanghai China
ภาพจาก Shutterstock

ตัวเลขการส่งออกในเดือนสิงหาคมของจีนออกมาต่ำกว่าที่คาด โดยอยู่ที่ลดลง 1% เมื่อเทียบเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้การส่งออกไปสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของจีนลดลงถึง 16% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ตัวเลขนำเข้าสินค้าลดลง 5.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐลดลง 6.4% ขณะที่ตัวเลข 8 เดือนที่ผ่านมาจีนได้ดุลการค้ากับสหรัฐไปแล้วถึง 195,450 ล้านเหรียญสหรัฐ

ภาคการส่งออกที่ตกต่ำกดดันเศรษฐกิจของจีนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยทั้ง 2 ฝ่ายได้ตอบโต้ซึ่งกันและกันหลังจากที่ สหรัฐได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 2 ชุด เพื่อตอบโต้ที่จีนได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้ามูลค่ากว่า 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อตอบโต้สหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้ามูลค่ากว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

ความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงกดดันภาคการส่งออกของจีนอยู่ในขณะนี้ ส่งผลทำให้ภาคเศรษฐกิจได้รับผลจากความไม่แน่นอนเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นภาคการบริโภคในประเทศ ฯลฯ นอกจากนี้นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนอาจแย่ได้มากกว่านี้อีกหลังจากที่สหรัฐได้เริ่มเก็บภาษีแบบจริงจังในเดือนนี้ (ที่เริ่มเก็บไปแล้ว) และอีกครั้งในวันที่ 15 ธันวาคม

Bloomberg ยังได้รายงานว่าคณะรัฐมนตรีของจีนเตรียมส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ขณะที่ Helen Qiao นักวิเคราะห์ของ Bank Of America มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ณ ปัจจุบันอาจไม่เพียงพอสำหรับความเสี่ยงจากสงครามการค้าด้วยซ้ำ

ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBoC) เริ่มใช้นโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาธนาคารกลางได้ประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ หรือที่เรียกว่า RRR ลงอีก 0.5% รวมถึงจะปรับลดอีกสองรอบคือวันที่ 15 ตุลาคมและ 15 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้

โดยม็ดเงินและสภาพคล่องไหลเข้าระบบการเงินได้อีกประมาณ 900,000 ล้านหยวนนี้ ING มองว่ารัฐบาลจีนตั้งเป้าจะทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถมีต้นทุนการเงินที่ถูกมากขึ้น และลดการล้มละลายของกิจการเนื่องจากต้นทุนการเงินที่สูงมากเกินไป นอกจากนี้การปล่อย RRR ออกมายังทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถจ้างงานได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

นอกจากนี้ ING ยังมองว่าธนาคารกลางจีนอาจปรับลด RRR อีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้เพิ่มเติม หรือช้าที่สุดคือในเดือนมกราคมปีหน้า ตราบใดที่สงครามการค้ายังดำเนินต่อไป รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยผู้ว่าการธนาคารกลางของจีนเคยกล่าวว่าจีนยังสามารถใช้นโยบายทางการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก UBS คาดว่าสหรัฐและจีนน่าจะยังไม่มีการเจรจาการค้าในปีนี้ รวมไปถึงในช่วงปีหน้าด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมองว่าเศรษฐกิจจีนยังมีความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมมากกว่านี้อีกด้วย โดยสถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ได้คาดการณ์ GDP ของจีนในปีหน้าเติบโตเหลือแค่เพียง 5.8% เท่านั้น

ที่มา – Arab News, DW, บทวิเคราะห์จาก ING

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ