อีกจิ๊กซอว์ของ Digital Centrality กลุ่มเซ็นทรัลดึง JD.com ช่วยปั๊มรายได้ออนไลน์แตะ 15% ใน 5 ปี

เมื่อต้นปี “กลุ่มเซ็นทรัล” เปิดกลยุทธ์ Digital Centrality เพื่อก้าวข้ามวิกฤติค้าปลีก และตอนนี้แผนนั้นคงยกระดับไปอีกขั้น เพราะได้ลงเงินกว่า 17,500 ล้านบาทดึง JD.com ยักษ์ Ecommerce จากจีนมาทำตลาดในไทย

สะเทือนทั้งค้าปลีก Online-Offline ในไทย

แม้ข่าวนี้จะถูกเปิดเผยมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การแถลงอย่างเป็นทางการครั้งนี้ก็เป็นการตอกย้ำว่ากลุ่มเซ็นทรัลเดินเกม E-Commerce อย่างจริงจัง เพราะนอกจากจะทำช่องทางขายสินค้า Online ในทุกๆ ธุรกิจของกลุ่ม เช่น Central.co.th, Robinson.co.th และ Tops.co.th ยังมีแพลตฟอร์ม E-Commerce ใหม่เข้ามาอีก

ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานกลุ่มเซ็นทรัล เล่าให้ฟังว่า ตัวแพลตฟอร์ม E-Commerce ใหม่ที่ร่วมมือกับ JD.com จะใช้ชื่อ JD.co.th ผ่านการร่วมทุนกว่า 17,500 ล้านบาทกับ JD.com ยักษ์ใหญ่ E-Commerce จากจีน โดยตัวแพลตฟอร์มนี้จะเริ่มให้บริการช่วงเม.ย. 2561 เพราะอยู่ระหว่างวางโครงสร้างพื้นฐาน และขอใบอนุญาตต่างๆ

“เซ็นทรัลไม่ได้มาช้า แม้ที่ไทยจะมีเจ้าตลาดอยู่แล้ว เนื่องจากเรามีฐานลูกค้ากว่า 14 ล้านคน, มี Supplier เป็นหมื่นๆ ราย และมีสินค้าที่จำหน่ายอยู่เป็นล้านๆ SKU ซึ่งต่างจากเจ้าอื่นที่เขาเริ่มจากศูนย์ ดังนั้นดีลนี้จึงทำให้เราเดินกลยุทธ์ Omni-Channel ได้มากขึ้น ผ่านการผสาน Online-Offline อย่างแนบสนิท”

ปั้นรายได้ Online แตะ 15% ของกลุ่มใน 5 ปี

แม้จะมีช่องทาง Online ทุกธุรกิจอย่างที่เขียนไว้ข้างต้น แต่กลุ่มเซ็นทรัลย้ำว่า การมีช่องทางหลากหลายทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม และตัว JD.co.th ที่มีสินค้าคุณภาพจากประเทศจีนจำนวนมาก ก็จะมีสินค้าจาก Supplier ของเซ็นทรัลเข้าไปจำหน่ายเช่นกัน จึงไม่ใช่การลงทุนซ้ำซ้อน แต่เป็นการขยายโอกาสการจำหน่ายสินค้ามากกว่า

ขณะเดียวกันการมี JD.co.th ก็ช่วยให้เป้าหมายการมีรายได้จากช่องทาง Online เป็น 15% ของรายได้รวมทั้งกลุ่มเซ็นทรัล จากปี 2559 อยู่ราว 1-2% ของยอดขายกว่า 3.3 แสนล้านบาท และเป็นอีกหนึ่งตัวแปรหลักในการเพิ่มยอดขายเติบโต 15% ทุกปีจากนี้ แต่ทางกลุ่มยังไม่มองเรื่องกำไรของดีลนี้ เพราะเป็นการลงทุนระยะกลาง-ยาว

“เงินลงทุน 17,500 ล้านบาท จะแบ่งเป็นครึ่งหนึ่งใช้พัฒนาแพลตฟอร์ม E-Commerce และระบบ Logistic ส่วนอีกครึ่งจะใช้พัฒนาบริการ E-Finance เช่นบริการสินเชื่อรายย่อย รวมถึงทำระบบ Payment Gateway และ E-Wallet โดยตอนแรกเราวาง JD.co.th ไว้เป็นเว็บไซต์แบบ B2C แต่ในอนาคตมันก็พัฒนาไปสู่ B2B ได้ด้วย”

หน้าเว็บไซต์ JD.com

สร้างงานในประเทศ แถมเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้า

Vincent Yang ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด เสริมว่า การเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ ทางกลุ่มมีแผนจ้างงานในประเทศไทยจำนวนมาก เพื่อ Localize และพัฒนาแพลตฟอร์มที่ให้บริการในไทยได้เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีความต้องการยกระดับไทยเป็น Rigional Hub เช่นกัน

“เรามองพื้นที่ EEC (Eastern Economic Corridor) ว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ยิ่งตอนนี้ในอินโดนีเซียเราก็เข้าไปทำตลาดแล้ว ดังนั้นการมีไทยเข้ามาช่วยเป็นศูนย์กลางก็น่าจะดี และเรามีความสนใจในการทำศูนย์นวัตกรรมด้วย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทั้งการขนส่ง, การวิเคราะห์ Big Data และระบบ AI ต่างๆ ได้เหมือนกับที่ใช้ในจีน”

ทั้งนี้ทาง JD.com เป็น E-Commerce ที่มีนโยบายซื้อสินค้าตรงจากผู้ประกอบการ เช่นในประเทศไทยมีการซื้อสินค้าจาก SME เพื่อไปขายในประเทศจีนกว่า 10,000 ล้านบาท และทางกลุ่มเซ็นทรัลเองก็จะพยายามช่วย SME ให้เข้าไปทำตลาดในจีนได้มากกว่าเดิม โดยคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทในอีก 5 ปี

สรุป

เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วในการเริ่มให้บริการ JD.co.th ในไทย เพราะตอนนี้เซ็นทรัลก็ตั้ง Warehouse ย่านบางนานแล้ว แถมหลังจากนี้ก็เตรียมกระจายสินค้าที่จะจำหน่ายไปใน Warehouse ของเซ็นทรัลที่มีอยู่ทั่วประเทศด้วย ส่วนตัวบริการ E-Finace นั้น กลุ่มเซ็นทรัลบอกว่าพร้อมให้บริการหลังเริ่ม E-Commece ราว 3-4 เดือน

ดังนั้นเมื่อทุกบริการครบสมบูรณ์ ก็เรียกได้ว่าการรุกตลาด Online ของกลุ่มเซ็นทรัลคงเข้มข้นขึ้นอีกเยอะ และยังแข่งกับเจ้าตลาดอย่าง Lazada ได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ส่วนตัวเชื่อว่าจะเห็นการเผาเงินเพื่อทำโปรโมชั่น และซื้อคนเข้ามาในระบบอีกครั้งแน่ๆ หลังกลยุทธ์ดังกล่าวเหมือนเงียบไปพักหนึ่งในประเทศไทย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา