รู้จักรถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำรุ่น M-Byte ของ Byton ที่ติดตั้ง AI, หน้าจอ 48 นิ้ว แถมรองรับ 5G

ปกติแล้วรถยนต์ไฟฟ้าที่เห็นกันในตลาดก็ไม่ได้มีเทคโนโลยีล้ำๆ เต็มที่ก็ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และเชื่อมต่อกับ Smart Device ได้ แต่ถ้าคุณรู้จักกับ M-Byte แล้วล่ะก็ ภาพรถยนต์ไฟฟ้าของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

รถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้ารุ้น M-Byte ของ Byton

มีระบบปฏิบัติการของตัวเอง พร้อมผู้ช่วย Alexa

M-Byte คือรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ Byton หนึ่งใน Stratup ด้านรถยนต์ไฟฟ้าจากฮ่องกงที่เมื่อปี 2561 ได้เปิดตัวในงาน CES ที่สหรัฐอเมริกา แต่ตอนนั้นเป็นเพียงรถยนต์ต้นแบบ ส่วนในงาน CES ของปี 2562 นั้นค่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ได้เปิดตัว M-Byte อย่างเป็นทางการ แถมประกาศเปิดจองภายในปี 2562 แน่นอน

สำหรับคุณสมบัติโดยคร่าวของ M-Byte คือรถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV มีสองรุ่นย่อยคือรุ่นที่วิ่งได้ 400 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง กับรุ่นเพิ่มความจุแบตเตอรี่ทำให้วิ่งได้ 515 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ส่วนราคาก็เริ่มต้นที่ 45,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.43 ล้านบาท) แต่ถ้าเจาะลึกในเรื่องคุณสมบัติล้ำๆ แล้วล่ะก็ มันเล่าได้อีกนาน

รถยนต์ไฟฟ้า
Byton รุ่น M-Byte

ไม่ว่าจะการมีระบบปฏิบัติการของตัวเองที่ชื่อว่า Byton Byte OS ที่ภายในมีการติดตั้ง Alexa ผู้ช่วยอัจฉริยะของ Amazon ไว้ด้วย รวมถึงมีรูปแบบการใช้งานที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับภาพยนตร์ Minority Report หรือใช้มือวาดบนอากาศเพื่อควบคุมการใช้งานต่างๆ ได้เลย

หน้าจอจำนวนมาก แถมขนาดไม่ใช่เล็กๆ

นอกจากนี้หน้าจอภายในรถยนต์ไฟฟ้า M-Byte ยังมีหลากหลายจออีกด้วย ไล่ตั้งแต่หน้าจอสำหรับคนขับที่กว้าง 48 นิ้ว หรือครอบคลุมรถตั้งแต่ฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง โดยหน้าจอนี้มีหน้าที่แสดงความเร็ว, สถานะของรถ และความบันเทิงต่างๆ ด้วย แต่มากกว่านั้นยังมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วตรงกลางรถเพื่อควบคุมสิ่งต่างๆ เช่นกัน

รถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น M-Byte ของ Byton

ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะมีหน้าจอขนาด 8 นิ้วติดตั้งอยู่บริเวณหลังเบาะหน้าเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้โดยสารด้านหลังด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ต้องตกใจไป เพราะ M-Byye ยังมีปุ่มที่เป็นปุ่มจริงๆ ไว้ควบคุมสิ่งต่างๆ บนรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ด้วย

รองรับการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี 5G

สุดท้ายรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ยังติดตั้งอุปกรณ์รองรับเทคโนโลยี 5G ดังนั้นมันก็สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังมี Application ของตัวเองเพื่อใช้ควบคุมรถยนต์ได้อีกด้วย ส่วนถ้าใครอยากได้รุ่นแบบ Sedan ก็คงต้องรอปี 2564 ในชื่อ K-Byte รวมถึงทาง Byton เองก็มีแผนเปิดตัวรุ่นที่ 3 ในปี 2566 เช่นกัน

สรุป

รถยนต์ไฟฟ้ายังพัฒนาให้ล้ำขึ้นไปเรื่อยๆ และมีหน้าใหม่เกิดขึ้นในตลาดตลอดเวลา เช่น Tesla และ NIO ดังนั้นคงต้องรอดูว่าฝั่งค่ายรถยนต์ดั้งเดิมจะเอาอย่างไรต่อไป เพราะพวกเขายังมีความได้เปรียบเรื่องไลน์ผลิต แต่อีกฝั่งโดดเด่นเรื่องเทคโนโลยี และอาจมีการควบควมกิจการกันบ้างก็เป็นได้ใครจะไปรู้

อ้างอิง // TechRadar

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา