Yelp เผยข้อมูล ธุรกิจที่ปิดกิจการในช่วงโควิดระบาด ราว 60% อาจต้องปิดถาวร 

Yelp เผยรายงาน Economic Average ธุรกิจในสหรัฐฯ ที่ปิดกิจการไปเมื่อช่วงโควิด-19 ระบาดอย่างหนักหน่วง มีแนวโน้มปิดกิจการถาวร

Photo by Jason Leung on Unsplash

ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Yelp ระบุว่ามีธุรกิจปิดตัวลงราว 163,735 แห่ง ลดลงจากช่วงที่มีโรคระบาดช่วงแรกๆ อยู่ที่ 180,000 แห่ง แต่ก็มีอัตราที่สูงขึ้น 23% ถ้าเทียบจากเดือนกรกฎาคม 

ทั้งนี้ Yelp ระบุว่าธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มปิดตัวถาวร จำนวนของธุรกิจที่ปิดตัวในรอบหกเดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราว 97,996 แห่ง หรือประมาณ 60% พบว่าธุรกิจอาจไม่กลับมาเปิดทำการใหม่ ถือว่ามีอัตราที่เพิ่มขึ้น 34% สำหรับกิจการที่จะปิดถาวรนับตั้งแต่รายงานไว้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา โดยรายงานของ Yelp ในเดือนกันยายนระบุว่า ตั้งแต่ช่วงมีนาคมยาวไปอีก 6 เดือนถือเป็นช่วงวิกฤตของธุรกิจต่างๆ 

อย่างไรก็ดี Yelp พบว่า ธุรกิจขนาดเล็กแม้จะถูกโควิดโจมตีอย่างหนักหน่วง แต่ธุรกิจท้องถิ่น เช่น การให้บริการด้านยานยนต์นั้นกลับประคองตัวเองได้ดีกว่าหลายอุตสาหกรรมด้วยกัน ข้อมูลชี้ใเห้เห็นว่า แนวโน้มที่ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่บ้าน โดยธุรกิจที่ให้บริการอาทิ การตกแต่งสวน การทำสัญญา ทนายความ การให้บริการยานยนต์ เหล่านี้ล้วนมีการปิดกิจการในอัตราที่ต่ำกว่าค้าปลีกเสื้อผ้าหรือธุรกิจตกแต่งบ้าน 

Photo by Kenny Luo on Unsplash

Justin Norman รองประธาน Yelp ระบุว่า ลูกค้ายังต้องการรับบริการอยู่ อัตราการให้บริการการให้คำปรึกษาแบบเสมือนจริง ที่มีการเว้นระยะห่างจากสังคม และไร้การสัมผัส ธุรกิจเหล่านี้จะมีความยืดหยุ่นในช่วงที่เกิดโรคระบาด 

ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ร้านอาหาร บาร์ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตยามค่ำคืนล้วนได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังเจอมาตรการที่เป็นข้อจำกัดอย่างเข้มงวด ร้านอาหารราว 32,109 แห่งปิดตัวและราว 61% ถูกทำให้ต้องปิดตัวถาวร ร้านอาหารที่สามารถนำอาหารกลับไปทานที่บ้านได้จึงมีแน้วโน้มที่จะยืดหยุ่นกว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐ​ฯ อาจทำให้ร้านค้าต่างๆ ต้องปิดตัวถาวรได้

หลากหลายธุรกิจอาจไม่สามารถฟื้นฟูได้ในระยะเวลาอันสั้น Norman ระบุว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือธุรกิจที่ปรับตัวได้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นนอนสำหรับ 6 เดือนที่ผ่านมาา พบว่า เป็นธุรกิจที่ทำงานอย่างหนัก นำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายของท้องถิ่น

ที่มา – CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา