ตลาดหุ้นตปท.โตแซงหุ้นไทย! บล.บัวหลวงแนะแนวก่อนลงทุนหุ้นในสหรัฐ-ฮ่องกง-เวียดนาม

ในวันที่ดัชนีหุ้นไทยรักษาระดับที่ 1,700 จุด ใครที่ถือแล้วมีกำไรอยู่คงมีความสุขแต่ถ้ามองหาที่ลงทุนใหม่ๆ ต่างประเทศที่ตลาดหุ้นช่วงนี้เติบโตกว่าตลาดไทยก็น่าสนใจเหมือนกัน Brand Inside มีโอกาสได้พูดคุยกับ รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่าย Global Investing บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ที่จะเล่าการลงทุนหุ้นในต่างประเทศเป็นทางเลือกให้นักลงทุน

รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่าย Global Investing บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

เมื่อตลาดหุ้นต่างชาติโตกว่าตลาดหุ้นไทยต้องลงทุนอย่างไร?

รัฐศรัณย์ บอกว่า 6 ปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบผลตอบแทนดัชนีหุ้นไทยและต่างประเทศ ได้แก่ ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐ ดัชนี Hang Seng ในฮ่องกง และดัชนี VN ของเวียดนามพบว่าการเติบโตของดัชนีหุ้นไทย (SET) เติบโตต่ำที่สุด ซึ่งช่วงนี้เงินบาทอยู่ในทิศทางแข็งค่าย่อมทำให้การลงทุนต่างประเทศไม่ว่าจะซื้อหุ้น ซื้อกองทุนรวมถูกลง “ตอนนี้นักลงทุนในประเทศกำลังพัฒนายังส่วนใหญ่ยังลงทุนในประเทศเป็นหลัก เพราะคุ้นเคยกว่า แต่ถ้าดูจากสตอรี่ และเทรนด์ตอนนี้ตลาดต่างประเทศกำลังเติบโตทั้งประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ จีน รวมถึงประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเวียดนามมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะโตอีกมาก ยิ่งตอนนี้ทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขยายเกณฑ์ให้คนไทยไปลงทุนต่างประเทศผ่านบริษัทนายหน้าได้ง่ายขึ้น” ล่าสุดบล.บัวหลวงเปิดตัวบริการใหม่ BLS Global Investing ให้นักลงทุนไทยสามารถไปลงทุนใน 3 ประเทศได้แก่ สหรัฐฯ ฮ่องกง และเวียดนาม ถือว่าครอบคลุมความต้องการของนักลงทุนในปัจจุบัน แต่การไปลงทุนต่างประเทศยังมีความเสี่ยงสูงเพราะต้องศึกษาความเสี่ยงเฉพาะ กฎเกณฑ์การนำเงินเข้าออก ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง

เจาะลึก! ทำไมต้องลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ฮ่องกง-เวียดนาม

สหรัฐฯ – ปัจจุบันนักลงทุนไทยกว่า 80% อยากเริ่มต้นลงทุนที่สหรัฐฯ เพราะเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่พัฒนาแล้วซึ่งธีมลงทุนหลักหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และขยายธุรกิจใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหุ้นใหญ่ของสหรัฐ “การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มักเป็นหุ้นเทคโนโลยีซึ่งมีคนใช้งานต่อเนื่อง และกลุ่ม Super stock คือ ธุรกิจที่มีคู่แข่งหรือมีเจ้าใหม่มาแข่งในตลาดยาก เช่น Starbucks Visa Mcdonalds ฯลฯ ต้องยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้ใกล้ตัวเรามากขึ้น และอยู่ในชีวิตเราปัจจุบัน อาจจะใช้มากกว่าของบางอย่างในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้ในถ้า PE ไม่เกิน 30 เท่า ถือว่าโอเค อย่าง Facebook PE 20 เท่า ยังไม่สูงนักถ้าเทียบกับหุ้นไทย” ความเสี่ยง & สิ่งที่ต้องจับตามอง : จับตาเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (FED) พลิกมุมมองเป็นลดดอกเบี้ยนโยบายทำให้ทั่วโลกกลายเป็นเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยลดลงและเห็นเม็ดเงินไหลมาหาผลตอบแทนสูงขึ้นในตลาดหุ้น

Technology Company Apple Facebook Google iPhone Screen
ภาพจาก Shutterstock

ฮ่องกง – เป็นเสมือนตลาดหุ้นในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ความเสี่ยงต่ำกว่าเพราะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯ นี้จะมีมาตรฐานชัดเจน เกณฑ์การจดทะเบียนจะเข้มข้นกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งจีนใช้ฮ่องกงเป็นฐานในการขยายสู่ตลาดโลก ทั้งนี้แม้ว่าการเติบโตเศรษฐกิจฮ่องกงจะชะลอลงแต่ตลาดหุ้นยังเติบโต  เพราะฮ่องกงมีโครงการ Geater bay Area ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ความเสี่ยง & สิ่งที่ต้องจับตามอง : การประท้วงในฮ่องกงอาจส่งผลกระทยต่อธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ฯลฯ และช่วงสิ้นปีนี้ดัชนี MSCI จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้้น A-share (ดัชนีที่เฉลี่ยจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเซิ่นเจิ้น) ในช่วงสิ้นปีนี้ จะทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงเติบโตขึ้นซึ่งมีหลายตัวที่น่าสนใจ เช่น บริษัทเทคโนโลยี Tencent กลุ่มประกัน Pingan, AIA ขนส่งโลจิสติกส์ Kerry เวียดนาม – จุดเด่นของเวียดนามคือคล้ายกับประเทศจีนที่เพิ่งเปิดประเทศ มีประชากรอายุน้อยและเศรษฐกิจเติบโตเร็ว ทำให้มีหุ้นหลายตัวที่มีแนวโน้มการเติบโตแต่ราคายังไม่สูงเกินไป เช่น หุ้นการท่าอากาศยานเวียดนาม (ACV) ซึ่งมี PE 25 เท่า ฯลฯ “ปีก่อนเศรษฐกิจเวียดนาม GDP โต 6.8% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการส่งออกปีนี้ก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง แม้ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีหุ้นเวียดนามยังบวกไม่เยอะ แต่ครึ่งปีหลัง มองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะฟื้นตัว” ความเสี่ยง & สิ่งที่ต้องจับตามอง : เงื่อนไขการนำเงินเข้า-ออกจากประเทศ เงื่อนไขการซื้อ-ขายหุ้นที่อาจจะทำให้ต้องซื้อขายนอกตลาดในราคาที่สูงขึ้น จับตาการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท 

บล.บัวหลวงเตรียมขยายลงทุนหุ้นอนุพันธ์ปีหน้า

ปัจจุบันฐานลูกค้าบล.บัวหลวงอยู่ที่ 350,000 บัญชี มีส่วนแบ่งทางการตลาด 20% และหากดูเฉพาะฐานลูกค้าขนาดกลางถึงกลุ่มบนมีอยู่ 10-20% ของพอร์ท จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ขยายไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ทางบล.จะเน้นการลงทุนในตลาดหุ้น เช่น กองทุนรวม กองทุน ETF (Exchange Traded Fund)  และช่วงต้นถึงดลางปีหน้าจะขยายตราสารอนุพันธ์ อย่างไรก็ตามแนะนำสัดส่วนการลงทุนที่มีหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นไทย 30% สหรัฐฯ 30% ฮ่องกง 20% เวียดนาม 20%

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

จากนักข่าวการเงินหนังสือพิมพ์ธุรกิจย่านประชาชื่น ผันตัวเข้าโลกออนไลน์ ความท้าทายครั้งใหม่คือการเล่าเรื่องเงินให้เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง