แท็กซี่ญี่ปุ่นเดินเกมรถยนต์ไร้คนขับ หลังจับมือทีมพัฒนาเร่งทดสอบก่อนให้บริการในปี 2563

นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว กระแสรถยนต์ไร้คนขับก็บูมไปทั่วโลก และล่าสุดเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นในผู้ให้บริการแท็กซี่ของญี่ปุ่นอย่าง Hinomaru Kotsu ที่เริ่มทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อให้บริการได้ทันช่วงโอลิมปิกในปี 2563

ตัวอย่างแท็กซี่ไร้คนขับในประเทศญี่ปุ่น

เร่งเครื่องก่อนโอลิมปิก และการขาดแคลนคนขับ

เมื่อประเทศญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปี 2563 ทุกภาคส่วนก็ต่างตื่นตัว รวมถึงเร่งพัฒนาสินค้า และกบริการของตนให้พร้อมรับกับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่จะหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ หนึ่งในนั้นก็คือธุรกิจแท็กซี่อย่าง Hinomaru Kotsu ที่จับมือกับ ZMP Inc. ผู้พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไรคนขับเพื่อยกระดับบริการไปอีกขั้น

โดยการจับมือครั้งนี้ ZMP Inc. จะเป็นผู้พัฒนา และออกแบบระบบควบคุมรถยนต์ไร้คนขับในรถแท็กซี่ของบริษัทข้างต้น ที่สำคัญทั้งคู่ยังเตรียมทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับบนท้องถนนจริงระหว่างวันที่ 27 ส.ค.-8 ก.ย. บนเส้นทางราว 5.3 กม. ระหว่างย่านโอเทมาจิจนถึงเขตรปปงหงิ

รถแท็กซี่ของ Hinomaru Kotsu // ภาพโดย Comyu [CC BY-SA 3.0 (https://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0)], from Wikimedia Commons
ซึ่งผู้ที่สนใจใช้บริการก็สามารถจองได้ผ่านเว็บไซต์ของ ZMP Inc. ได้ ผ่านค่าบริการต่อเที่ยวอยู่ที่ 1,500 เยน (ราว 450 บาท) และด้วยยังอยู่ในช่วงทดสอบทำให้รถแท็กซี่ไร้คนขับจะวิ่งเพียง 4 เที่ยวไปกลับในแต่ละวันเท่านั้น ที่สำคัญนอกจากผู้โดยสารแล้ว ข้างหน้ายังมีคนขับรถ และผู้ช่วยนั่งไปด้วยเพื่อความปลอดภัย

อย่างไรก็ตามก็ทดสอบครั้งนี้ก็เหมือนการให้บริการจริงๆ เพราะการปลดล็อคประตูรถแท็กซี่ และการชำระเงินก็จะทำผ่าน Smartphone ทั้งหมด และอีกจุดประสงค์ที่ Hinomaru Kotsu ต้องพัฒนาเทคโนโลยีก็เพื่อรับกับการขาดแคลนพนักงานขับรถในอนาคต เพราะญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ

ภาพ pixabay.com

ทั้งนี้รัฐบาลประเทศญี่ปุ่นได้อนุญาตให้ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบนท้องถนนจริงได้เมื่อปี 2560 เพราะต้องการขับเคลื่อเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ประกอบกับผู้เล่นในตลาดโลก โดยเฉพาะกับกลุ่ม GM และ Waymo ที่ต่างก็มีการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบนท้องถนนแล้ว ทำให้ค่ายรถญี่ปุ่นก็ต้องเร่งให้เรื่องนี้เกิดเช่นกัน

สรุป

ถือเป็นการปรับตัวที่ดีของบริษัทแท็กซี่ เพราะปัจจุบันการแข่งขันของบริการร่วมเดินทางก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการลงทุนในแทคโนโลยีบ้างของบริษัทดั้งเดิมจึงจำเป็น ยิ่งในยุคที่แรงงานหาได้ยากในญี่ปุ่นก็ยิ่งต้องทำเข้าไปใหญ่ ว่าแล้วก็อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยบ้าง เผื่อจะได้นั่งเงียบๆ บนแท็กซี่ระหว่างที่รถติด

อ้างอิง // Japan Today

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา