อัพเดตมุมมองเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 4 ที่มีความท้าทายอยู่ข้างหน้า เช่น การแพร่ระบาดของ COVID-19 การอัพเดตมุมมอง รวมถึงการจัดพอร์ตการลงทุนผ่านงานสัมมนาของ SCB Julius Baer ที่จัดขึ้นแบบ Exclusive สำหรับลูกค้าของ SCB Julius Baer
ปี 2020 ถือเป็นอีกปีที่มีความท้าทายในการลงทุนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่เพียงแค่นั้นผลกระทบจาก COVID-19 เองยังส่งผลทำให้สินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกมีความผันผวนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลและธนาคารกลางต่างต้องออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
ในงานสัมมนา Knowing the Market. Winning the Crisis. ของ SCB Julius Baer มร. มาร์ค แมทธิว Head Research Asia, Bank Julius Baer เล่าถึงเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ธนาคารกลาง ต่างดำเนินนโยบายทางการเงินโดยเพิ่มสภาพคล่อง ขณะที่รัฐบาลยังใช้นโยบายการคลังในการอัดฉีด เยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่ง มร. มาร์ค เชื่อว่านโยบายดังกล่าวนี้จะมีต่อไปอีกสักระยะ ซึ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้น ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวได้ไหลเข้าไปในตลาดหุ้นของสหรัฐ ทำให้ดัชนี S&P 500 รวมไปถึง Dow Jones เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ มร. มาร์ค ยังมองว่าตลาดในปีหน้าอาจมีความเสี่ยงจากสภาพคล่องที่อัดเข้ามา
ประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มร. มาร์ค ได้ชี้ให้เห็นว่ามุมมองทางการเมืองของชาวอเมริกันในยุคปัจจุบัน มีความแตกต่างเมื่อเทียบกับในปี 1994 อย่างมากโดยเฉพาะมุมมองการเมืองของชาวสหรัฐที่มี 2 ด้านแตกต่างกัน ได้แก่ มุมมองแบบอนุรักษ์นิยม และมุมมองแบบเสรีนิยมที่ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สำหรับเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ผลสำรวจที่ประชาชนสหรัฐมองเป็นเรื่องสำคัญอันดับ 1 คือเรื่องของเศรษฐกิจ
Julius Baer คาดว่าความผันผวนที่มาจากเลือกตั้งสหรัฐ และจะกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ขณะที่เรื่องของตลาดหุ้นนั้น ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2009 ได้วิ่งขึ้นมาเกิน 300% แล้ว ขณะที่กำไรเมื่อเทียบกับอัตราส่วน P/E ปีหน้าเกิน 20 เท่ามานิดหน่อย แม้ว่าตลาดหุ้นของสหรัฐฯ จะขึ้นมามากขนาดนี้ แต่ มร. มาร์ค ได้เล่าว่า ลูกค้าของ Julius Baer มักจะถามว่าตอนนี้ตลาดกำลังจะเข้าสู่ขาลงหรือยัง ซึ่งเขามองว่าตลาดยังไม่เข้าสู่สภาวะนี้ เนื่องจากตัวเลขบ่งชี้ของสินทรัพย์ต่างๆ ยังไม่ได้บ่งบอกถึงสภาวะนี้
อีกเรื่องที่เป็นประเด็นในการลงทุนคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่สร้างผลตอบแทนสูงมาก จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าตอนนี้แพงเกินไปหรือไม่นั้น มร. มาร์ค ได้เล่าว่า หุ้นเทคโนโลยีตอนนี้เป็นสัดส่วนสำคัญของดัชนี MSCI World แทนหุ้นกลุ่มพลังงานไปแล้ว แสดงเห็นถึงความสำคัญของกลุ่มเทคโนโลยีอย่างมาก เช่น ปัจจุบันเราใช้แอพพลิเคชั่น Zoom ไว้ประชุมกับที่ทำงาน การใช้อีคอมเมิร์ซ แม้แต่การเดทออนไลน์
มร. มาร์ค ยังชี้ว่าหุ้นหลายๆ ตัวได้มีมูลค่าบริษัทแซงอีกบริษัท จากการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ เช่น กรณีของ BP บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัทเล็กว่า Orsted บริษัทผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลม หรือแม้แต่ SEA Group ที่เป็นเจ้าของ Garena หรือ E-commerce อย่าง Shopee นั้นมีขนาดบริษัทใหญ่กว่า DBS ธนาคารใหญ่อันดับ 1 ของประเทศสิงคโปร์
นอกจากนี้ มร. มาร์ค ยังมองว่าหุ้นจีนจะถือเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนในอนาคตด้วย และเขาได้ทิ้งท้ายว่าหลังจากนี้ต้องให้ระวังสัญญาณการฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะเกิดขึ้น 2-3 ปีหลังจากนี้ที่จะทำให้เกิดการชะลอตัวของตลาดหุ้น
สำหรับมุมมองการจัดพอร์ตการลงทุนนั้น มร.โจเซฟ คาเซราส กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายแนะนำการลงทุนและผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด ได้แนะนำพอร์ตการลงทุนแบบสั้นๆ คือ สัดส่วนของหุ้นอยู่ที่ 50% ตราสารหนี้ 40% กองทุนตลาดเงิน หรือเงินสด 6% และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น ทองคำ ฯลฯ อีก 4%
มร.โจเซฟ ยังแนะนำธีมการลงทุนที่น่าสนใจ 4 ธีม ด้วยกัน ได้แก่
- Digital Economy เช่น เรื่องของ E-commerce ที่หลายประเทศยังมีผู้ใช้งานน้อย
- ดิจิทัลเฮลท์แคร์ เช่น Telemedicine ที่กำลังจะเป็นเทรนด์ในอนาคต
- ฟินเทค เช่น บริการจ่ายเงินแบบดิจิทัล ผู้ให้บริการบัตรเครดิต ฯลฯ
- Smart Mobility เช่น รถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้า
และเขายังได้ทิ้งท้ายบริการสุดพิเศษสำหรับลูกค้า SCB Julius Baer คือ Global Excellence Mandate ที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น ขณะเดียวกันในช่วงตลาดมีความผันผวนมาก ก็ยังมีผลตอบแทนดีกว่าดัชนีหุ้นหลายๆ ตัว ซึ่งบริการดีๆ เหล่านี้มีให้กับลูกค้าของ SCB Julius Baer เท่านั้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา