พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วจริงๆ ยิ่งค้าปลีกที่ว่าแน่ในสหรัฐอเมริกาก็ต้องปรับแผนกันอุตลุด และล่าสุด J.C. Penney ห้างค้าปลีกที่เปิดมากกว่า 110 ปี ก็เตรียมปิดหน้าร้าน 140 แห่งภายในไตรมาส 2 ปีนี้
ออนไลน์โตเร็วกว่าที่คาดไว้
จากการเติบโตของ E-Commerce ในสหรัฐอเมริกา ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และพวกเขาเลือกที่จะไม่มาซื้อสินค้าภายในห้างค้าปลีกอีกต่อไป จนห้างค้าปลีกเหล่านั้นต้องประกาศปิดสาขาเพื่อประหยัดต้นทุน เช่นปลายปี 2559 Macy’s Inc. ก็ประกาศปิด 100 สาขา และแรงกระเพื่อมนี้ก็ส่งมาถึง J.C. Penney ค้าปลีกคู่แข่งที่เตรียมปิดบริการ 140 สาขาภายในไตรมาส 2 ปีนี้ พร้อมกับประกาศเลิกจ้างพนักงานหลายพันตำแหน่งอีกด้วย
ทั้งนี้สาขาที่ปิด 140 แห่งคิดเป็น 14% ของสาขาที่ J.C. Penney มีในสหรัฐอเมริกา และเหตุที่ปิดก็เพราะสาขาดังกล่าวทำยอดขายรวมกันไม่ถึง 5% ของยอดขายรวมทั้งหมด นอกจากนี้ค้าปลีกรายดังกล่าวยังประกาศปิดศูนย์กระจายสินค้าอีก 2 แห่ง เนื่องจากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารไปอีก 200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,500 ล้านบาท ส่วนพนักงานนั้นทางบริษัทได้จัดตั้งโครงการ Early Retirement Plan เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาสมัคร โดยตั้งเป้าเลิกจ้างบุคลากรราว 6,000 ตำแหน่ง
Marvin Ellison ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ J.C. Penney ย้ำว่า บริษัทต้อง Take Aggressive เพราะถ้ายังปรับปรุงอย่างนิ่มนวลก็คงไม่ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้แน่นอน และการทำเช่นนี้น่าจะสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทเอาไว้ได้ด้วย เพราะแม้จะดึงพาร์ทเนอร์ต่างๆ เข้ามา เช่นร้านขายเครื่องสำอาง Sephora รวมถึงเพิ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อ/คน ให้สูงขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถประครองธุรกิจให้กลับมาได้อยู่ดี
สรุป
ด้วยตลาด E-Commerce ในสหรัฐอเมริกานั้นสามารถเข้าถึงได้ในวงกว้าง และผู้บริโภคเข้าใจความสะดวกในการซื้อสินค้าแบบนี้ คราวนี้ก็คงรอว่าค้าปลีกในประเทศไทยจะปรับตัวอย่างไร เพราะการสร้างออนไลน์สโตร์ของตัวเองขึ้นมาอาจไม่ใช่คำตอบก็ได้ หากเจอกลุ่มทุนเข้ามาทุ่มตลาด
อ้างอิง // J.C. Penney to Shut as Many as 140 Stores as Industry Slumps
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา