ทุกอย่างที่วางแผนไว้ต้องพังทลายเมื่อเกิดวิกฤต COVID-19 หนึ่งในนั้นคือ Mazda ที่ต้องล้มแผนระยะกลางที่วางเป้าหมายยอดขายที่ 1.8 ล้านคันทั่วโลกในปี 2567 เพราะมันคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีแรก
นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกมีปัญหา เพราะเกิดโรค COVID-19 ระบาด หลายธุรกิจเดินหน้าต่อไม่ได้ ที่สำคัญผู้บริโภคยังไม่มีอารมณ์มาซื้อรถยนต์ใหม่ในตอนนี้ เหตุนี้เอง Mazda จึงเตรียมล้มเลิกแผนธุรกิจระยะกลางที่หนึ่งในนั้นคือการตั้งเป้าหมายยอดขาย 1.8 ล้านคันภายในปี 2567
สำหรับแผนระยะกลางดังกล่าว Mazda ได้แจ้งอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพ.ย. 2562 โดยหาก Mazda ทำได้จริง ยอดขายในปี 2567 จะมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีปฏิทิน 2561 แต่ด้วยปีปฏิทิน 2562 ที่สิ้นสุดไปเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ภาพรวมยอดขาย Mazda กลับลดลง 9% เหลือ 1.41 ล้านคัน
ขณะเดียวกันระหว่างเดือนม.ค.-มิ.ย. 2563 ภาพรวมยอดขายรถยนต์ของ Mazda ลดลง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หรือทำได้เพียง 5.56 แสนคัน และแม้สัญญาณการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา และจีนจะเริ่มดีขึ้น แต่ Mazda ได้ตัดสินใจทบทวนแผนระยะกลางใหม่น่าจะดีกว่า
ทั้งนี้ในตลาดโลก Mazda ค่อนข้างประสบความสำเร็จนับตั้งแต่การเปิดตัวเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมัน แต่ประสิทธิภาพสูงอย่าง Skyactiv ในปี 2555 แต่สุดท้ายแผนการปรับราคาให้พรีเมียมขึ้นตั้งแต่รุ่น Mazda 3 และ CX-30 ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เปลี่ยนไปในทิศทางที่แย่ลง และกระทบกับยอดขายด้วย
สรุป
Mazda เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มาแรง และเติบโตอย่างรวดเร็วในระยะหลัง แต่เมื่อเกิด COVID-19 ทางบริษัทต้องกู้เงินกว่า 3 แสนล้านเยนเพื่อประคองธุรกิจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เห็นจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่นที่ต้องกู้เงิน หรือบางรายต้องปิดโรงงานไปเลยเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในเวลานี้
อ้างอิง // Asia Nikkei Review
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา