มุมมองของนายกรัฐมตรีสิงคโปร์เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน โดยชี้ประเด็นสำคัญคือจีนไม่สามารถเป็นผู้นำด้านความมั่นคงเหมือนสหรัฐได้ จากกรณีทะเลจีนใต้ และหลายๆ ประเทศเองไม่ต้องการที่จะเลือกข้าง
นิตยสาร Foreign Affairs ได้ตีพิมพ์บทความของ ลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ โดยในบทความดังกล่าวนั้นผู้นำสิงคโปร์ได้มีมุมมองเรื่องของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และได้ชี้ประเด็นสำคัญว่า แม้ว่าจีนจะเพิ่มกำลังทหารในทะเลจีนใต้มากขึ้น แต่จีนไม่สามารถเป็นผู้นำด้านความมั่นคงทดแทนสหรัฐได้ เนื่องจากประเทศต่างๆ รอบทะเลจีนใต้มีความอ่อนไหวกับเรื่องนี้อย่างมาก
ในบทความที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เขียนยังอธิบายถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ผ่านมาว่าสหรัฐมีกองเรือที่ 7 ซึ่งเป็นกองเรือที่มีความสามารถและทรงพลังมากที่สุดในโลกนั้นได้สนับสนุนเรื่องความปลอดภัยในทะเลจีนใต้ ทำให้เกิดการเดินเรือได้อย่างเสรี มีความปลอดภัยทางด้านการค้า ส่งผลต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจของเอเชียเติบโตมาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ยังได้ชี้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียในช่วงที่ผ่านมาเกิดได้จากสหรัฐ เพราะสหรัฐเองเป็นผู้นำในเรื่องการเปิดกว้าง การผสานสิ่งต่างๆ รวมไปถึงการเป็นผู้นำโลกผ่านกฎระเบียบต่างๆ และยังได้สนับสนุนเรื่องความร่วมมือระหว่างภูมิภาค และในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนในทวีปเอเชียเองมีบริษัทจากสหรัฐมากมายที่ได้เข้ามาลงทุน
สำหรับเศรษฐกิจจีนช่วงที่หลายสิบปีผ่านมาการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอยู่ภายใต้ สันติภาพแบบอเมริกัน (Pax Americana) มาโดยตลอด นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เองยังได้ยกคำพูดของ เติ้ง เสี่ยวผิง ในเรื่องนโยบายจีนก่อนหน้านี้คือ “ปกปิดความแข็งแกร่ง และรอเวลา” ซึ่งจีนในช่วงพัฒนาประเทศนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะขึ้นมาเทียบเคียงกับสหรัฐด้วยซ้ำ เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเดียว
เขายังชี้ว่าประเทศในอาเซียนเองในช่วงที่ผ่านมามีความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจกับจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ แถมยังรักษาความสัมพันธ์แนบแน่นกับสหรัฐและประเทศพัฒนาอื่นๆ ผ่านความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การประชุม East Asia Summit ในปี 2005 เป็นต้น
แต่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังชี้ว่าเวลาผ่านไป การพัฒนาต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้นของจีน ทำให้จีนเองก็ต้องการมีบทบาทในภูมิภาคนี้มากขึ้น ลี เซียนลุง ได้ชี้ว่าจีนในยุคหลังแทบไม่ได้นำคำพูดของ เติ้ง เสี่ยวผิง ที่กล่าวในข้างต้นมาเป็นนโยบายเลยด้วยซ้ำ และที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าจีนได้ยึดครองพื้นที่ในทะเลจีนใต้และมีการเสริมกำลังทหาร ทำให้เกิดความอ่อนไหวและกังวลจากประเทศรอบๆ ทะเลจีนใต้ และทำให้เกิดความไม่ไว้ใจจีน
นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์นี้คล้ายกับเหตุการณ์ที่จีนได้สนับสนุนกลุ่มคอมมิวนิสต์ในช่วงยุคก่อนปี 1980 ที่สร้างความกังวลให้กับประเทศต่างๆ รวมไปถึงความไม่ไว้ใจคนเชื้อสายจีนในประเทศต่างๆ ว่าจีนเองมีอิทธิพลกับกลุ่มคนเหล่านี้หรือไม่
ทางด้านของสหรัฐนั้น นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์มองว่าความไม่แน่นอนของสหรัฐหลังจากส่วนแบ่งในเศรษฐกิจโลกที่ลดลง ประเด็นในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงรวมไปถึงสันติภาพจะยังมีต่อหรือไม่หลังจากนี้ และจากนโยบาย “America first” ยิ่งทำให้เกิดความคลุมเครือมากขึ้น
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังได้กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาชี้ว่าประเทศต่างๆ ไม่ต้องการที่จะเลือกว่าจะเข้าข้างจีน หรือเข้าข้างสหรัฐ และสิ่งที่เกิดขึ้นจะสร้างอันตรายโดยเฉพาะกับประเทศเล็กๆ อย่าสิงคโปร์ทันที
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา