สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นับว่าเป็นโรคระบาดที่มีความรุนแรงที่สุดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา สร้างความเสียหายกับภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ทุกๆ คนล้วนได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่เว้นแม้แต่มหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกาหลายๆ คนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เช่นเดียวกัน แต่ผลกระทบนี้ไม่ได้สร้างความลำบากแต่อย่างใด เพราะพวกเขามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 10% คิดเป็น 2.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.14 ล้านล้านบาท เทียบกับช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้มหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกา มีทรัพย์สินรวมกันกว่า 3.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 104 ล้านล้านบาท
แม้ว่าในช่วงแรกที่โรคโควิด-19 มีการระบาด มหาเศรษฐีในอเมริกาหลายคนจะมีทรัพย์สินลดลง เช่น Jeff Bezos CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท Amazon ที่มีทรัพย์สินลดลงเหลือ 1.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 12 มีนาคม แต่เมื่อถึงวันที่ 15 เมษายน ทรัพย์สินของเขากลับเพิ่มขึ้นอีก 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.11 แสนล้านบาท
ส่วน Eric Yuan CEO และผู้ก่อตั้ง Zoom เว็บไซต์สำหรับ VDO Conference ที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีก 2.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.36 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในช่วงนี้ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในสหรัฐฯ ได้สังเกตปริมาณทรัพย์สินของมหาเศรษฐีหลายคน พบว่าในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดูเหมือนว่าทรัพย์สินจะลดลงในช่วงแรก แต่หลังจากนั้น 3 สัปดาห์กลายเป็นว่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนเกือบทำสถิติสูงสุดรอบใหม่ได้อีกครั้ง
หลายฝ่ายให้ความเห็นว่าการที่ทรัพย์สินของมหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งภาพความไม่เท่าเทียมที่ปรากฎให้เห็น เพราะพวกเขายังมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแม้ในช่วงเวลาวิกฤต ประกอบกับในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2008 มหาเศรษฐีชาวอเมริกันใช้เวลา 30 เดือนในการฟื้นตัวจนมีทรัพย์สินเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤต
ในขณะที่ชาวอเมริกันที่เป็นชนชั้นกลางบางส่วน มีไม่สามารถฟื้นตัวและมีทรัพย์สินเท่ากับก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2008 แม้เวลาจะผ่านมา 12 ปีแล้วก็ตาม
ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมามหาเศรษฐีหลายคนได้มีการบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือในสถานการณ์โควิด-19 แต่ความจริงแล้วจำนวนเงินที่บริจาคคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก อาจคิดเป็นสัดส่วนแค่ 0.0001% เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถชดเชยกับการหาวิธีเลี่ยงจ่ายภาษีที่เหล่ามหาเศรษฐีเคยทำ
ที่มา – Fast Company
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา