ตลาดรถยนต์ B Segment ถือเป็นตลาดรถยนต์นั่งที่มีส่วนแบ่งใหญ่ที่สุด และปีนี้น่าจะมีการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดด้วย เพราะทุกค่ายน่าจะทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาด ประเดิมรายแรกด้วยเจ้าตลาดรถยนต์นั่ง Honda ที่เปิดตัว Honda City ใหม่ ปรับโฉมเปลี่ยนไฟและรายละเอียดใหม่ๆ ไปหลายจุด
ปรับโฉมใหม่ ราคาเดิม กระตุ้นยอด
สิ่งที่น่าจะดึงดูดมากที่สุดคือ แม้จะปรับชิ้นส่วนใหม่ แต่ราคาขายเท่าเดิม โดยราคา 6 รุ่น ดังนี้
รุ่น SV+ CVT ราคา 751,000 บาท
รุ่น SV CVT ราคา 736,000 บาท
รุ่น V+ CVT ราคา 689,000 บาท
รุ่น V CVT ราคา 649,000 บาท
รุ่น S CVT ราคา 589,000 บาท
รุ่น S MT ราคา 550,000 บาท
พิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า การที่ Honda ไม่ปรับราคาขาย ส่วนหลักมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อให้รถยนต์มีคุณภาพที่ดีขึ้น แต่ต้นทุนการผลิตไม่เพิ่ม จากปกติที่การปรับโฉม จะต้องมีราคาปรับขึ้น อีกส่วนหนึ่งคือ การแข่งขันที่ดุเดือด จากผู้เล่นหลายรายในตลาด
มั่นใจว่า Honda City จะรักษายอดขายอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์นั่งกลุ่ม B Segment ไว้ได้ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ 36,000 คัน จากปีที่ผ่านมา มียอดขาย 27,000 คัน
แล้วมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้าง
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือการติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED (LED Daytime Running Lights) ในทุกรุ่น นอกจากนี้ยังติดตั้งไฟหน้าแบบ LED และไฟตัดหมอบคู่หน้าแบบ LED และเปลี่ยนกระจังหน้าแบบโครเมียมดีไซน์ใหม่ให้ดูสปอร์ต กันชนหน้า-หลังดีไซน์ใหม่ และล้ออัลลอยลายใหม่
ด้านห้องโดยสารใหม่เปลี่ยนแผงคอนโซลสี Gun Metallic เบาะนั่งลายใหม่ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้าแบบ LED และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED รวมถึงเทคโนโลยีการควบคุมอัจฉริยะ เช่น ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ทั้ง Android และ iOS การควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และระบบอัจฉริยะช่วยในการควบคุมความบันเทิงต่างๆ
ส่วนเครื่องยนต์เป็นตัวเดิม SOHC i-VTEC 1.5 ลิตร ประหยัดน้ำมัน 17.9 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับเกียร์อัตโนมัติ และ 18.2 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับรุ่นเกียรต์ธรรมดา และรองรับพลังานทางเลือก E85
คาดการณ์ตลาดรถยนต์ปีนี้ โอกาสแตะ 800,000 คัน
ปีที่ผ่านตลาดรถยนต์มียอดขายรวมอยู่ที่ 760,000 คัน ติดลบ 4% จากปี 58 แต่สำหรับปีนี้คาดว่าตลาดรวมรถยนต์มีโอกาสขึ้นไปถึง 800,000 คัน จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งการกระตุ้นจากภาครัฐ แผนการเลือกตั้ง และการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของทุกแบรนด์ และการปลดล็อกรถยนต์คันแรกครบกำหนด 5 ปี ซึ่งมีประมาณ 1 ล้านคัน อาจจะเริ่มทยอยขายมือสองเล็กน้อย เพื่อซื้อรถยนต์คันใหม่
ส่วนของ Honda เองตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งหมด 120,000 คัน เติบโตขึ้น 12% จากปี 59 ที่มียอดขาย 107,000 คัน
ขณะที่ฐานการผลิตรถยนต์ของ Honda ในประเทศไทย 2 โรงงานคือที่ อยุธยา และปราจีนบุรี จะเต็มกำลังการผลิตภายในปลายเดือน ม.ค. โดยมีกำลังการผลิต 270,000 คันในปีนี้ (หลังจากการปรับสายการผลิตเรียบร้อยแล้ว) นอกจากผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ มียอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จ 40% และมียอดส่งออกชิ้นส่วนไปโรงงานผลิตอื่นๆ ของ Honda เป็นอันดับ 1 ของโลก
สรุป
สิ่งที่น่าสนใจของ Honda City คือ การปรับโฉมใหม่ในราคาเดิม เชื่อว่าจะเป็นการรับมือกับคู่แข่ง คือ Toyota Vios ที่กำลังจะเปิดตัวตามมาเร็วๆ นี้ รวมถึง Mazda 3 ใหม่ที่จะเปิดตัวปลายเดือน ม.ค. ดังนั้นปีนี้จะเป็นปีที่ผู้บริโภคมีทางเลือกสำหรับการซื้อรถยนต์ใหม่ และนั่นทำให้ตลาดรถยนต์ปีนี้น่าจะเติบโตขึ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา