สงครามการค้าพ่นพิษอีกแล้ว ซัมซุง ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน หลังจากประกอบธุรกิจมาอย่างยาวนาน สร้างโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนอยู่ในเมืองฮุ่ยโจวเกือบ 30 ปี ถึงเวลาอยู่ไม่ได้ก็ต้องไป จากเมืองที่เคยคึกคัก พอย้ายออกไป เมืองนี้ก็กลายสภาพเป็นเมืองร้าง ไม่ต่างจากเมืองผีเอาซะเลย
ซัมซุงประกาศปิดโรงงานตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนแรงงานของในจีนไต่ระดับสูงขึ้น อีกทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้ซัมซุงตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม ซึ่งสามารถจ้างคนเวียดนามทำงานได้มากถึง 200,000 ราย เวียดนามจะกลายเป็นฮับการผลิตสินค้าแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ซัมซุงได้อีกด้วย
Li Bing เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ในเมืองฮุ่ยโจวบอกว่า ภาพที่ผู้คนคราคร่ำอยู่ในเมืองและใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบได้หายไปแล้ว ลูกค้าของเธอส่วนใหญ่ก็มาจากละแวกโรงงานนี่แหละ เธอบอกว่าร้านอาหารตอนนี้มีแต่โต๊ะว่างเปล่า
การปิดตัวของซัมซุงคอมเพล็กซ์ในเมืองฮุ่ยโจว ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลกว่างตงหรือมณฑลกวางตุ้ง ทำให้ทุกอย่างเงียบงัน
ปกติเธอก็ได้ลูกค้าจากแรงงานอพยพนี่แหละ โรงงานซัมซุงนี้มีพื้นที่มากถึง 1.2 แสนตารางเมตร หรือประมาณ 75 ไร่ ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่ช่วยหล่อเลี้ยงธุรกิจในท้องถิ่นได้มากและยาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ
Li Bing เล่าว่า ก่อนโรงงานซัมซุงจะย้ายออกไป เธอมีรายได้ประมาณ 60,000-70,000 หยวนทุกเดือน (ประมาณ 300,000 กว่าบาท) ตอนนี้มีรายได้ตกวันละไม่กี่ร้อยหยวน (100 หยวน = 400 กว่าบาท) คืนหนึ่งมีคนมาทานอาหารแค่ 2-3 โต๊ะ
ธุรกิจหลายแห่งที่อยู่ใกล้โรงงานซัมซุงต่างต้องปิดตัวลงราว 60% เพราะส่วนใหญ่ก็อาศัยลูกค้าจากโรงงานเช่นกัน ทั้งนี้ Liu Kaiming หัวหน้าสถาบันเพื่อการสำรวจฯ กล่าวว่า “ซัมซุงคือผู้นำการผลิตของโลก การสร้างโรงงานที่ฮุ่ยโจวช่วยสร้างระบบนิเวศของห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงถึงกันมานานกว่า 20 ปี”
“ตอนนี้ มีอย่างน้อยกว่า 100 โรงงานในมณฑลกวางตุ้งกำลังปิดตัว พวกเขาอยู่รอดไม่ได้เมื่อโรงงานซัมซุงย้ายออกไป จะเหลือก็แค่ร้านเล็กๆ และร้านอาหารไม่กี่ร้านรอบๆ เมือง”
ทั้งร้านยา ซูปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร คอนวีเนียนสโตร์ อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บ้านเช่า โรงแรม คนงานถูกเลิกจ้าง ไม่มีงานทำ เหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบกันระเนระนาด เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในสภาพทิ้งร้างเพราะไม่มีคนอยู่ จนถูกมองว่ากลายเป็นเมืองผี
เกาหลีใต้ทิ้งจีนไปซบอกเวียดนามและอินเดีย จีนก็ทิ้งตัวเองไปพึ่งเมียนมาและเวียดนาม
สงครามการค้า สหรัฐ-จีน ส่งผลกระทบทั่วโลก แต่ผู้ที่ได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างมากคือเวียดนามและเมียนมา ไม่แน่ว่าจะมีแค่ 2 ประเทศนี้เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ เพราะพ่อค้าอย่างจีนก็ได้ประโยชน์จากการขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐฯ เพราะสามารถหาทางหลีกเลี่ยงการแบกรับต้นทุนสินค้าได้ถูกกว่าเดิมจากกฎหมายและสิทธิประโยชน์ที่สหรัฐฯ มอบให้แก่ชาติที่กำลังพัฒนาเสียด้วย
บริษัทจีนหลายแห่งย้ายฐานการผลิตไปเมียนมาหลังสงครามการค้าเริ่มต้นขึ้น การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลโดยตรงต่อการผลิต และลูกค้าที่สำคัญก็คือสหรัฐฯ เสียด้วย
จีนย้ายฐานการผลิตไปในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหาแรงงานที่ราคาถูกลงเรื่อยๆ การจ้างคนงานเมียนมา 3 คน เท่ากับจ้างคนจีน 1 คน ดังนั้น การย้ายฐานการผลิตไปเมียนมาย่อมคุ้มค่ากว่าอยู่ในประเทศของตัวเอง
อีกทั้ง สินค้าจากเมียนมากว่า 5,000 ชนิดสามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้แบบปลอดภาษี เพราะมีโครงการทางการค้าที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย กว่า 1 ปีที่ผ่านมา เมียนมารับทำโปรเจกต์ของจีนไปแล้วมูลค่ากว่า 585 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท
ไม่ใช่แค่เมียนมาที่ได้ประโยชน์ เวียดนามก็ได้ประโยชน์มากจากสงครามการค้าครั้งนี้ การแปะป้ายสินค้าว่าทำจากเวียดนาม ช่วยจีนลดต้นทุนได้มาก ไม่ต่างจากการลงทุนที่เมียนมา
ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของซัมซุงคือช่วงปี 2011 ที่สามารถทำยอดขายสมาร์ทโฟนได้มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ก็ได้แรงงานสำคัญจากเมืองฮุ่ยโจวและเมืองเทียนจิน ที่ช่วยผลิตและส่งออกสินค้าได้มากถึง 70.14 ล้านชิ้น เฉพาะแค่โทรศัพท์มือถือก็มากถึง 55.64 ล้านเครื่องแล้ว
ทั้งนี้ หลังจากซัมซุงปิดตัวโรงงานเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนแรก พบว่ายอดส่งออกจากธุรกิจอื่นๆ ในเมืองลดลง 1.4 หมื่นล้านหยวน หรือ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท เปรียบเทียบแบบรายปี ลดลงมากถึง 27%
ที่มา – South China Morning Post, Nikkei Asian Review
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา