บทบาทของสี จิ้นผิงที่เราคุ้นเคยกันมาตลอด คือความพยายามเล่นบทประนีประนอมให้โลกเห็นตลอดมา จะมีโต้กลับโดนัลด์ ทรัมป์แรงๆ ด้วยการขึ้นภาษีสู้กับสหรัฐอเมริกาบ้างก็คงไม่แปลก แต่ความนุ่มนวลของเขาอาจเด่นชัดขึ้นเพราะผู้คนมองเปรียบเทียบกับทรัมป์ที่มีท่าทีแข็งกร้าวอันเป็นลักษณะเด่นของทรัมป์และยังประกาศย้ำตลอดเวลาว่าต้องการให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งอยู่เสมอๆ
วันครบรอบสถาปนาประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน 70 ปี ภายใต้ภาพขบวนพาเหรดของเหล่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและการโชว์คลังแสงอาวุธระดับอลังการไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเพราะเป็นวันชาติจีน โลกก็ต้องรับรู้อยู่แล้วถึงศักยภาพทางทหารของจีนว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือการพูดย้ำถึงความรัก ความสามัคคีของคนในชาตินั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเราต่างก็รู้กันดีว่าจีนมีชนกลุ่มน้อยอยู่ในประเทศจำนวนมากถึง 55 กลุ่ม
แต่สิ่งที่โลกจับตามองจีนในปัจจุบันคือ สถานะของจีนไม่ว่าจะด้านความมั่นคงที่มีความขัดแย้งอย่างรอบด้าน เช่น การแข็งขืนของประชาชนชาวฮ่องกงที่มีการปราบปรามกันอย่างหนักหน่วงจนถึงขั้นใช้กระสุนจริงแล้ว ไหนจะไต้หวันที่ไม่ได้มีท่าทีผ่อนปรนต่อจีนอีก ไปจนถึงด้านเศรษฐกิจที่เป็นสงครามการค้ายืดเยื้อเรื้อรังกับคู่ปรับอย่างสหรัฐฯ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆ
สิ่งที่น่าสนใจของจีนในวันครบรอบ 70 ปีตอนนี้น่าจะเป็นการพยายามสื่อความหมายภายใต้ถ้อยแถลงของ สี จิ้นผิง ที่ยกคำกล่าวของประธานเหมา มากล่าวซ้ำย้ำอีกในครั้งนี้ และการพยายามแข็งกร้าวให้โลกเห็นทำให้ สี จิ้นผิงดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้นและแน่นอน คำพูดของเขาก็มาจากความกดดันด้วยส่วนหนึ่ง
ในถ้อยแถลงนั้น สี จิ้นผิง พูดถึงความลำบากยากแค้นมากว่า 100 ปีก่อนประเทศจะก้าวมาถึงวันนี้ได้ต้องผ่านอะไรมามาก และยังย้ำถึงคำกล่าวของประธานเหมาที่เคยกล่าวหลังปฏิวัติประเทศเสร็จว่า “ชาวจีนได้ลุกขึ้นแล้ว” สียังพูดถึงสันติภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้การปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ และความพยายามที่จะรักษาความมั่งคั่งและเสถียรภาพในฮ่องกงด้วย เขาย้ำว่าเขาสนับสนุนให้พัฒนาความสัมพันธ์อย่างสันติต่อไป แต่เราก็เห็นกันอยู่ ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเริ่มใช้กระสุนจริงตอบโต้ผู้ชุมนุมแล้ว?
“ไม่มีกองกำลังใดๆ จะสามารถสั่นคลอนสถานะของจีนหรือยับยั้งมิให้ชาวจีนและประเทศชาติขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้” นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่พยายามแสดงให้เห็นท่าทีที่ปรับให้เห็นว่ามีความขึงขัง จริงจังมากขึ้น หลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนสี จิ้นผิงสามารถอยู่ในอำนาจผู้นำประเทศได้ไปจนถึงปี 2023
เหลืออีก 4 ปีเราก็คงจะได้เห็นท่าทีของสี จิ้นผิงที่มีแนวโน้มว่าจะปรับภาพให้แข็งแกร่งจนผู้คนที่อยู่ภายใต้การปกครองไม่กล้าแข็งขืนและหาโอกาสอย่างสร้างสรรค์เพื่อสานประโยชน์ทางเศรษฐกิจประเทศชาติต่อไป แน่นอน สี จิ้นผิงก็คงยังแสดงท่าทีประนีประนอมต่อไป ตราบใดที่ท่าทีดังกล่าวยังเป็นผลบวกต่อผลประโยชน์แห่งชาติและทำให้ประเทศต่างๆ ยอมรับในจีนมากขึ้น
ที่มา – The State Council the People’s Republic of China, World Atlas, Journal of Democracy
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา