บทความโดย ศรัณย์ โรจนโสทร
งาน Blognone Tomorrow 2019 จบลงไปแล้วทาง Brand Inside ได้ถอดบทสัมภาษณ์ สมโภชน์ อาหุนัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (Energy Absolute) ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดของประเทศไทย เล่าวิธีคิดในการบุกเบิกพลังงานทางเลือกและอนาคตของไทยจะเป็นอย่างไร
บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (Energy Absolute) บุกเบิกธุรกิจน้ำมันไบโอดีเซล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม มุ่งเน้นในการพัฒนาบุคลาการและนวัตกรรม โดยใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ปัจจุบันเปิดแผนลงทุนโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน คือฐานที่นำไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จไฟฟ้า (EA Anywhere)
บริษัทลงทุนวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของคนไทยเป็นคันแรก ภายใต้ชื่อ MINE MOBILITY โดยใช้เวลาชาร์จเพียง 12 นาทีสามารถวิ่งได้ไกล 200 กิโลเมตร รวมทั้งการออกแบบและพัฒนาเรือพลังงานไฟฟ้าผลงานคนไทย สะอาดปราศจากมลพิษ เชื่อมต่อพลังงานทั้งทางบกและทางน้ำ เป็น Smart Transport แบบครบวงจร
Disruption คือโอกาสใหม่ๆ
สมโภชน์ มองว่าทั้งแบตเตอรี่ สถานีชาร์จ และรถยนต์ไฟฟ้า เกิดจากมองว่าการ Disruption เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส ซึ่งปัญหาในเมืองไทยคือติดกับดักรายได้ปานกลาง ทั้ง ที่มีบุคลากร ทรัพยากร โครงสร้างพื้นฐานเพียงพอในการพัฒนาเทคโนโลยีแทนที่จะซื้อจากต่างชาติก็พัฒนาขึ้นมาเอง
อย่างแรกต้องเปลี่ยนวิธีคิด เพราะการ Disruption ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ที่กล้าคิด กล้าทำ เมื่อก่อนคิดจากปัจจุบันไปสู่อนาคต แต่ว่าในเมื่ออดีตมันไม่ตอบโจทย์ ดังนั้นเราต้องคิดว่าในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้นบ้างทั้ง EV (Electronic Vihicle), Smart City, Renewable energy ซึ่ง Core ของทุกอย่างคือ แบตเตอรี่
การลงทุนกับแบตเตอรี่
การลงทุนโรงงานแบตเตอรี่ที่จะเกิดขึ้นมีกำลังการผลิตในช่วงทดลอง 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง GWh และหากสำเร็จจะขยายขนาดไปที่ 50 GWh ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งโรงงานของบริษัท Tesla มีขนาดเพียง 35 GWh
มีวิธีเรียนรู้คือ Copy&Develop คือวิธีที่เร็วที่สุด และเสี่ยงน้อยที่สุด ดังนั้นจึงซื้อบริษัทไต้หวันชื่อ Amita ที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม มาพัฒนาขยายขนาดการผลิตที่เมืองไทย
บริษัท Amita ก่อตั้งโดย ดร.จิม เฉิง ได้รับการสนับสนุนจาก Industial Technology Research (ITRI) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยและพัฒนาของไต้หวัน มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนมานานกว่า 19 ปี ถือเป็นบริษัทเดียวในโลกที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในระดับ Commercial ได้
ลงทุนเตรียมความพร้อมตั้ง EA Anywhere
สมโภชน์ กล่าวว่า ต้องสร้าง Ecosystem, Infrastructure จึงลงทุนบริษัท Atess ในประเทศจีนในการพัฒนา Charger เพื่อไปต่อกับแบตเตอรี่ และสร้าง EA Anywhere จำนวน 1000 สถานีทั่วประเทศโดยแบ่งเป็น 400 สถานีนอกปริมณฑลและ 600 สถานีในกรุงเทพและปริมณฑล สร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนในการซื้อขายพลังงาน ถ้าโครงสร้างพื้นฐานพร้อม คนก็พร้อมที่จะใช้งาน
MINE MOBILITY รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ไทย
EV ที่เน้นเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ เพราะเวลา Fast Charge แบตจะเสื่อมเร็ว ดังนั้นจึงมุ่งพัฒนาให้ชาร์จได้เร็ว และมีอายุการใช้งานได้นาน มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง มีต้นทุนในการจ่ายน้อยลง ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ให้กับ Commercial vehicle
สมโภชน์ มองว่า EV ควรจะเริ่มจากกลุ่ม Commercial vehicle (Taxi รถตู้ รถสาธารณะ) เพราะคนเหล่านี้มีเหตุผลในการตัดสินใจมากกว่าการซื้อรถใช้เอง ในขณะที่รถยี่ห้ออื่นๆ มุ่งไปที่ตลาดรถใช้เอง เนื่องจากมีปัญหาด้านการชาร์จ แต่ว่าตอนนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในด้านโครงสร้างแล้ว อย่างแรกคือมีฐานการผลิตครบทุกชิ้นอยู่แล้ว ต่อมาคือมีวิศวกรคนไทยที่เคยไปทำงานในบริษัทต่างชาติด้านการวิจัยและพัฒนารถ ดังนั้นจึงสามารถร่วมงานกันสร้างรถ EV ของคนไทยด้วยกันได้ และสุดท้าย EA จับมือร่วมกับ ITRI สถาบันวิจัยและพัฒนาของไต้หวัน เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ทำให้สามารถพัฒนารถยนต์ขึ้นมาได้
ด้านศูนย์ซ่อมบำรุง EA ก็เข้าไปเจรจากับธุรกิจคาแคร์ เซอร์วิสเซนเตอร์ต่างๆ เกี่ยวกับชิ้นส่วน อะไหล่ที่นิยมใช้ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันและต่อยอดได้
ประกอบร่างแบตเตอรี่ สถานีชาร์จ รถยนไฟฟ้า
Core หลักคือแบตเตอรี่ แต่ก็ต้องมีแอพพลิเคชั่นที่จะทำให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันได้ บริษัทจึงพัฒนา Gideon System เพื่อเชื่อมโยงทุกอย่างให้เข้ากันเป็นวงจร ให้มีเครื่องมือวัด ระบบการกระจาย ระบบซื้อขายพลังงานที่มีประสิทธิภาพเป็น Platform ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยทั้งผู้ผลิตพลังงาน ผู้บริโภค ผู้บริหารสายส่ง คนกำกับดูแล ให้ลดการใช้พลังงานและต้นทุน โดยลูกค้าสามารถซื้อพลังงานจากผู้ผลิตได้โดยตรง
กล่าวคือเปลี่ยนการใช้ระบบพลังงานดั้งเดิมให้เป็นรูปแบบใหม่และเข้ามาเติมเต็มให้ครบวงจรมากขึ้นทั้งแบตเตอรี่ สถานีชาร์จ คมนาคม และการซื้อขายพลังงาน
คนไทยก็สามารถทำเทคโนโลยีระดับโลกได้
สมโภชน์ กล่าวว่า “คนไทยเก่งแต่ไม่มีโอกาสในการทำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นจึงอยากพิสูจน์ว่าคนไทยก็สามารถทำเทคโนโลยีระดับโลกได้ เพื่อให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ และสามารถหลุดจากปัญหา Middle Income Trap”
ยุคนี้ คนที่เคยเป็น Leader อาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแรงที่สุด เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นวิกฤตินี้เป็นโอกาสสำหรับคนที่กล้าทำอะไรใหม่ๆ บริษัทจึงอยากเป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กรุ่นใหม่ ได้คิดอะไรใหม่ๆ ให้สังคมมันดีขึ้นและมีโอกาสมากขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา