การเลือกตั้งที่เสร็จสิ้นเมื่อวาน (24 มี.ค 2562) นอกจากประชาชนทั่วประเทศจับตามองผลการเลือกตั้ง สายลงทุนก็ลุ้นกันว่าตลาดหุ้นตลาดการเงินไทยจะเป็นอย่างไร?
ผลการเลือกตั้งผิดคาด! เพื่อไทยได้น้อยกว่าที่คิด พปชร.ได้มากกว่าที่คาด
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บอกว่า ผลการเลือกตั้งของไทย (อย่างไม่เป็นทางการ) ถือว่าผิิดจากที่ธนาคารคาดการณ์ไว้ จากเดิมคาดว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) จะได้คะแนนเสียง และได้จำนวนส.ส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ทิ้งห่างพรรคอื่นๆ แต่ผลลัพธ์คือพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จำนวนส.ส.ใกล้เคียงกับพรรคเพื่อไทย และยังได้คะแนนรวมสูงสุด ทำให้ท้ั้ง พท.และ พปชร.มีโอกาสเป็นแกนนำการจัดตั้งรัฐบาล (พรรคประชาธิปปัตย์ได้คะแนนน้อยผิดคาด)
ทั้งนี้หากพรรคพลังประชารัฐจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีเสียงเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย ทำให้มีความเสี่ยงเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต
ถ้าดูเรื่องนโยบายแต่ละพรรค ส่วนใหญ่จะคล้ายกันและเน้นไปที่การกระตุ้นฐานราก เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ดังนั้นไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็ไม่น่ามีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจให้ปรับเพิ่มขึ้นแรงหรือตกต่ำมาก อีกสาเหตุสำคัญเพราะไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดกว่า 70% ของ GDP มาจากภาคต่างประเทศ อย่างการท่องเที่ยวและการส่งออก ปีนี้ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวไม่เกิน 4%
ทิสโก้ปรับลด GDP ไทยเหลือ 3.5% หุ้นไทยจะเป็นอย่างไร?
ทิสโก้ ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2562 เหลือ 3.5% เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวไม่เติบโตมากนักเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีน ส่วนเศรษฐกิจในประเทศหากรัฐบาลสร้างความมั่นใจได้ทันทีจะทำให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศฟื้นตัวได้
ด้านการเมืองไทยต้องติดตามว่าพรรคใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล หากเป็นพรรคพลังประชารัฐจริงจะมีข้อดี คือการดำเนินนโยบายจะมีความต่อเนื่อง แต่เรื่องการเมืองต้องติดตามความวุ่นวาย การดำเนินงานของรัฐบาล และเสถียรภาพของประเทศ หากการเลือกตั้งสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพ (รัฐบาลมีเสียงเกิน 300 ที่นั่งขึ้นไป) เงินจากนักลงทุนต่างชาติน่าจะไหลเข้า 1 แสนล้านบาท
“นักลงทุนต่างประเทศไม่ค่อยสนใจว่ารัฐบาลจะมาจากพรรคไหน แต่จะให้ความสำคัญกับ 1. รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ 2. นโยบายเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร รัฐมนตรีเศรษฐกิจมีคุณภาพขนาดไหน 3. ความต่อเนื่องของนโยบายขนาดใหญ่ เช่น EEC ถ้าตอบโจทย์ในเชิงบวกได้ทั้งหมด เงินทุนต่างชาติก็จะไหลเข้าอย่างเต็มที่ อีกทั้งปัจจุบันอัตราการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำด้วย”
ทางทิสโก้ประเมินดัชนีหุ้นไทยปี 2562 ไว้ที่ 1,750 -1,800 จุด โดยมองว่าหุ้นไทยยังลงทุนได้เนื่องจากราคายังไม่แพง และมองว่าหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะเศรษฐกิจยังโตต่อได้และแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคเอกชน โครงการขนาดใหญ่ของรัฐยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่จะได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทยก็ต้องรอดูฟอร์มทีมรัฐบาลให้เรียบร้อยก่อน
ส่วนหุ้นทั่วโลกในช่วงมองว่าครึ่งปีหลังจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มหายไป เพราะธนาคารกลางต่างๆ เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวได้ แต่ต้องจับตามองธนาคารกลางหลายแห่งของโลก เช่่น ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ และจีน รวมถึงการ Brexit
สรุป
ตลาดหุ้นไทยวันนี้แม้เปิดตัวติดลบ แต่มาจากการติดลบทั้งภูมิภาค หลังจากนี้นักลงทุนต้องติดตามการเมือง ผลการเลือกตั้งของไทยอย่างต่อเนื่อง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Related