หลัง Grab ซื้อ Uber ไปหลายคนสังเกตว่าค่าโดยสาร ค่าบริการแพงขึ้น! (ใส่ส่วนลดแล้วยังไม่คุ้มที่จะใช้) ผู้บริโภคเลยต้องรอคู่แข่งเจ้าใหม่ อย่าง Go-Jek ที่กำลังจะเข้าไทย
ปัจจุบัน Go-Jek ให้บริการในต่างประเทศหลายอย่าง ตั้งแต่บริการส่งอาหาร ส่งของ ซื้อยา ซื้อตั๋วหนัง ตั๋วคอนเสิร์ต เติมเงินมือถือ บริการจองร้านนวด จ้างแม่บ้านทำความสะอาด รวมไปถึง บริการเสริมสวยถึงบ้าน ที่ไทยเราจะมีแบบนี้บ้างได้ไหม?
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่
- มารู้จักกับบริการของ Go-Jek สตาร์ทอัพจากอินโดนีเซีย ที่พร้อมท้าชน Grab
- GET! บริการเรียกรถน้องใหม่ ที่ได้แรงหนุนจาก GO-JEK สตาร์ทอัพจากอินโดฯ พร้อมแข่ง Grab!
-
Grab เตรียมรับน้อง GoJek ด้วย GrabRewards “ลูกค้าจะได้รู้ว่ามีความต่างกัน”
Go-Jek ย้ำจุดยืนลูกค้าอยากได้อะไร จัดให้ทุกอย่าง
Andre Soelistyo President Go-Jek บอกว่า ปัจจุบัน Go-Jek ให้บริการแล้วในอินโดนีเซีย สิงค์โปร์ ฯลฯ ซึ่งบริการที่ให้เป็นมากกว่า Logistics แต่ต้องให้บริการที่ลูกค้าอยากได้ทุกอย่าง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ซึ่งยอมรับว่าใน 2 ประเทศนี้ใช้เวลาในการพัฒนามาหลายปี
“ธุรกิจหลักของเรา เริ่มต้นที่คนขับ และลูกค้าซึ่งมีทั้งกลุ่มที่มีและไม่มีบัญชีธนาคาร ดังนั้นเราต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้ามั่นใจที่จะใช้งานเราได้ (Go-Pay) รวมถึงต้องเชื่อมโยงกับพาร์ทเนอร์อื่นๆ เพิ่มบริการใหม่ๆ เพื่อเป็นทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะอาหาร การเงิน ฯลฯ”
ตัวอย่างในอินโดนีเซีย คนมีบัญชีธนาคารที่ 33% ลูกค้าจึงเลือกใช้บัตรเดบิต แต่กลุ่มลูกค้าที่เหลือมี Go Pay ที่ไม่ต้องมีบัญชีธนาคาร สามารถใช้ E-wallet จ่ายเงินได้ ปัจจุบันเลยไปจับมือกับธนาคารเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันต้องพัฒนานวัตกรรม (Innovation) โดยเรามีความร่วมมือกับ Allianz ในอินโดนีเซีย สร้างทีมเฉพาะขึ้นมาศึกษาความต้องการลูกค้า
“เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง ทำให้เราต้องร่วมมือกับคนอื่น พาร์ทเนอร์อื่นๆ เพราะคนที่เก่งกว่าเรายังมีอยู่ ซึ่งเราเริ่มต้นที่เอเชียและหาทางขยายไปที่อื่นต่อไป”
พาร์ทเนอร์ยุคใหม่ต้องออกนอกธุรกิจสร้างบริการใหม่ๆ
Altin Solmaz รอง CEO เอเชีบแปซิฟิค Allianz บอกว่า การร่วมมือระหว่าง Go-Jek และ Allianz ทำให้ทั้ง 2 องค์กรเข้าถึงฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นหลักล้านราย
“เดิมพันธมิตรของบริษัทประกัน จะเป็นธนาคาร แต่ตอนนี้จะมีพาร์ทเนอร์ที่ต่างออกไป โดยเฉพาะ Fintech เพื่อสร้าง Insure Tech ดังนั้นเราต้องทำ API (จุดเชื่อมต่อ) เพื่อเชื่อมกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ”
สรุป
เมื่อ Grab ซื้อ Uber ไปหลายคนเห็นว่าค่าบริการแพงขึ้น ดังนั้นเราต้องรอคู่แข่งเจ้าใหม่อย่าง Go-Jek (มาในไทยชื่อ GET) มาสู้กันในตลาด ซึ่งก่อนที่เขาจะเข้าไทยต้องจับมือกับพันธมิตรให้มากขึ้นในธุรกิจที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์การเป็นทุกอย่างและเข้าไปอยู่ในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า แล้วรายได้จะตามมาเอง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา