ในยุคที่ดาต้ากำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในองค์กรต่างๆ ศาสตร์ที่มาแรงคงหนีไม่พ้น “Data Science” หรือ “วิทยาศาสตร์ข้อมูล” ที่คนทั่วไปอาจนึกภาพไม่ออกว่าคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ธุรกิจจะได้ประโยชน์อะไรจากศาสตร์นี้
ทรู ดิจิทัล พาร์ค โดย โอลิเวอร์ เบคเคอร์ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านคอมมูนิตี้ จึงจัดงานเสวนา “Tech Supper Club #2” หัวข้อ “Technology and Data Science for Business Growth” ได้ผู้เชี่ยวชาญจากวงการ Data Science ได้แก่ วิโรจน์ จิรพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ Skooldio สถาบันสอนด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และนักพัฒนาจาก กูเกิล, ชารินทร์ พลภาณุมาศ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล จาก BridgeAsia ธุรกิจที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและบิสิเนสโซลูชั่นด้านการแพทย์ และ ชิตพล มั่งพร้อม ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Zanroo (แสนรู้) มาร์เทค (Marketing Technology) สตาร์ทอัพ
วิโรจน์ จิรพัฒนกุล มองว่า ความท้าทายคือ การไม่มีดาต้าหรือคลังข้อมูลที่ใหญ่พอจะพยากรณ์สิ่งที่ต้องการ และจะเก็บข้อมูลที่ตอบโจทย์ได้อย่างไร เช่น ธนาคารอาจต้องการนำเสนอบัตรเครดิตที่เหมาะสมกับลูกค้า ธนาคารจะต้องรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า บางธนาคารอาจจะมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์อย่างไร
“นักศึกษาด้านนี้บางคนไม่ทราบว่าจะวิเคราะห์ ตีความข้อมูลที่มีเพื่อใช้พยากรณ์ได้อย่างไร ซึ่งไม่ได้เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลคนเดียวเท่านั้น ทุกคนในบริษัทควรจะมีไอเดียเรื่องข้อมูลแบบนี้ด้วย จึงจะเกิดประโยชน์”
ในยุคที่ดาต้ายิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สายงาน “นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล” เป็นที่ต้องการ แต่พบว่าคนทำงานด้านนี้ยังขาดแคลน วิโรจน์ ให้ความเห็นว่าการพัฒนาคนต้องใช้เวลา แต่คนทำงานบางคนก็ต้องการทางลัด จึงไม่อยู่กับองค์กรนาน สิ่งแวดล้อมในบริษัทต้องเอื้ออำนวยด้วย เช่น มีโครงสร้างพื้นฐานและมีข้อมูล ควรมีทีมสื่อสารเรื่องดาต้ากับเขาเพื่อเปลี่ยนปัญหาทางธุรกิจให้เป็นโจทย์ที่เขาสามารถนำไปทำงานต่อได้
สำหรับผู้ที่สนใจสายงานด้านนี้ ต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริง และการนำความรู้ไปใช้ได้จริง ซึ่งทำได้โดยริเริ่มทำโปรเจ็คต่างๆ และเริ่มต้นทำตั้งแต่วันนี้
“บางคนมีความรู้มาก แต่ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้จริงเมื่อไร ในชีวิตจริงต้องเริ่มตั้งแต่ จะหาดาต้าอย่างไร เมื่อได้แล้ว จะวางกรอบปัญหาอย่างไรให้ได้โซลูชั่นออกมา จึงแนะนำให้เลือกประเด็นในด้านที่สนใจก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ภาพยนตร์ ฟุตบอล ฯลฯ ต้องตั้งคำถามและเริ่มทำงานโปรเจ็ค การเริ่มจากสิ่งที่เราชอบ ดีกว่าจะไปเรียนทฤษฎีโดยไม่มีทิศทาง”
ชารินทร์ พลภาณุมาศ บอกว่า ความท้าทายปัจจุบันคือ การขาดความเข้าใจเกี่ยวกับดาต้า ความสามารถในการเปลี่ยนความรู้ในสาขาต่างๆ ให้เป็นวิทยาศาสตร์ข้อมูล นอกจากนี้ จุดมุ่งหมายของการใช้เทคโนโลยีก็สำคัญ บางครั้งผู้บริหารอาจบอกว่า ต้องใช้ AI แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมต้องใช้ จะใช้เพื่อแก้ปัญหาอะไร จะใช้อย่างไร จะมีตัวชี้วัดอะไร
ในประเด็นบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล บริษัทหลายแห่งไม่ต้องการนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจำนวนมาก แต่ปัญหาในไทยคือการขาดข้อมูลและโครงสร้างข้อมูล สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล แต่ที่วงการต้องการก่อนคือ วิศวกรข้อมูล ผู้วางพื้นฐานต่างๆ ต้องมีการวางแผนข้อมูล มีโมเดล มีข้อมูลการใช้และความสัมพันธ์กับระบบ (Use Case) สิ่งที่สำคัญกว่าการรับคนที่ชอบทำงานวิเคราะห์ คือการเตรียมข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์
ชารินทร์ เน้นเรื่องการปฏิบัติ และย้ำถึงความสำคัญของข้อมูล หลักการของศาสตร์ที่เป็นพื้นฐาน ทั้งการตั้งข้อสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดสอบ การให้ผลย้อนกลับ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อทำโปรเจ็ค ใส่ใจกับหลักการก่อนที่จะไปใช้เทคนิคที่ซับซ้อนตามกระแส
ดาต้ากับความท้าทายสำหรับเจ้าของธุรกิจอย่าง ชิตพล มั่งพร้อม มองว่าความท้าทายมีสองด้าน ด้านแรก คือคนมักไม่เข้าใจว่าอะไรคือดาต้าและบิ๊กดาต้าคืออะไร รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลบางคน ไม่มีแนวคิดด้านธุรกิจ อาจไม่สามารถมองได้ว่าจะแปรเปลี่ยนดาต้าให้เกิดผลทางธุรกิจได้อย่างไร
ด้านที่สองคือ การมีข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน เพราะโลกปัจจุบันมุ่งที่ประสบการณ์ของลูกค้า ‘Customer experience is the king’ ลูกค้าซื้อเพราะได้รับการปฏิบัติอย่างดี และเมื่อลูกค้ามีปัญหา บริษัทก็ต้องเก็บข้อมูลส่วนนี้ด้วย เพื่อรักษาประสบการณ์ที่ดีไว้ให้ได้
ชิตพล ซึ่งประสบความสำเร็จจากการนำข้อมูลที่ได้เป็นเชิงลึกมาช่วยต่อยอดธุรกิจ และสร้างกิจการให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าของกิจการ แต่เป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ก็ควรพูดคุยกับซีอีโอให้มากขึ้น บางทีอาจจะมีช่องว่างระหว่างผู้บริหารอยู่ หรือถ้าเป็นเจ้าของกิจการอยู่แล้ว ก็แนะนำให้พูดคุยกับลูกค้าให้มากขึ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา