หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้พบปะหารือในเรื่องประเด็นของสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศแล้วนั้น แรงกดดันหลังจากนี้อาจอยู่ที่ผู้นำจีนว่าจะหาทางออกเหล่านี้ได้ยังไง ขณะที่ประเด็นต่างๆ อย่างเช่น เรื่องการขโมยเทคโนโลยี ฯลฯ กำลังเร่งให้จีนต้องหาทางออกเหล่านี้อยู่
หลังจากสงครามการค้าได้สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนมากกว่าที่คิด โดยล่าสุดในการประชุม G20 ที่ประเทศอาร์เจนตินา ทั้ง 2 ผู้นำได้มีการพบปะหารือในประเด็นนี้บ้างแล้ว โดยทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเรื่องของการเจรจาระหว่างเขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนว่า การพบปะหารือในรอบนี้เป็นที่น่าพอใจมาก
- รัฐบาลจีนอาจกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่เป็นที่น่าพอใจ
- เศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 โต 6.5% ต่ำสุดตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2009
- จีนเตรียมปั๊มเงินเข้าเศรษฐกิจอีก 1.2 ล้านล้านหยวน หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัว
ทรัมป์เองยังได้กล่าวเสริมว่า เขาและประธานาธิบดีจีน ได้มีข้อตกลงร่วมกันบางอย่าง และเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรมกับทุกฝ่าย และยังรวมไปถึงประเด็นปัญหาของเกาหลีเหนืออีกด้วย ทำให้นักลงทุนคาดว่าท้ายที่สุดแล้วสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศจะจบด้วยการเจรจาที่ดี
Just had a long and very good conversation with President Xi Jinping of China. We talked about many subjects, with a heavy emphasis on Trade. Those discussions are moving along nicely with meetings being scheduled at the G-20 in Argentina. Also had good discussion on North Korea!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) November 1, 2018
ล่าสุดยังรวมไปถึงการที่ทรัมป์ได้กล่าวเรื่องนี้กับทีมงานของเลขาคณะรัฐมนตรีให้เตรียมร่างข้อสัญญาที่เป็นไปได้ในการทำข้อตกลงทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ เพื่อที่จะหยุดยั้งการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมากไปกว่านี้ด้วย
โดยก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้ประกาศที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลค่ากว่า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้กับประเทศจีน ซึ่งได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาแล้ว
ไม่เหมือนคุยไว้นี่นา
อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าทรัมป์เองจะกล่าวว่าการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี แต่เรื่องนี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในการทำข้อตกลงการค้า และรวมไปถึงการปฏิรูปนโยบายเกี่ยวกับการค้าด้วย ในช่วงปีที่ผ่านมาหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยกนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ทางด้านจีนเองเป็นผู้ที่สนับสนุนการค้าเสรี แต่อีกด้านหนึ่งจีนก็ยังไม่ได้ปฏิรูปนโยบายนี้มากนัก
ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้เปิดกว้างเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นให้ชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในธุรกิจธนาคาร ประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์ รวมไปถึงบริษัทจัดการกองทุน ให้ชาวต่างชาติถือหุ้นได้เกิน 51% หรือแม้แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่พยายามลดภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะรถยนต์ จาก 25% เหลือ 15%
- สงบศึกสงครามการค้าชั่วคราว? จีนเตรียมลดภาษีนำเข้ารถยนต์เหลือ 15%
- สี จิ้นผิง รับปากเปิดกว้างเรื่องการค้า เพื่อลดความขัดแย้งเรื่องสงครามการค้า
ความคาดหวังที่มากกว่านั้น
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะคิดแบบที่จีนคิด โดยนักลงทุนจากนานาชาติมีคาดหวังที่ว่าจีนจะปฏิรูปโดยเฉพาะการถือหุ้นจากต่างชาติให้มีหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่านี้ แต่จีนกลับใช้เวลาในช่วงที่ผ่านมาอย่างเชื่องช้า ซึ่งดูได้จากอันดับขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ที่วัดในเรื่องการเปิดกว้างในการลงทุนจากต่างประเทศ จีนได้อันดับที่ 59 จาก 62 ประเทศที่อยู่ในดัชนีนี้
ยังรวมไปผลสำรวจจากหอการค้าของสหภาพยุโรปฯ ที่ลงทุนในประเทศจีน ผลสำรวจในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแสดงกว่าบริษัทต่างๆ ยังกังวลถึงเรื่องข้อกำหนดที่มากเกินไปจากหน่วยงานต่างๆ ในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถือหุ้นของชาวต่างชาติ ฯลฯ ทำให้บริษัทเหล่านี้พลาดในการลงทุนในประเทศจีน และบริษัทที่อยู่ในผลสำรวจหวังว่ารัฐบาลจีนจะผ่อนคลายเรื่องนี้มากขึ้นในอนาคต
ยังมีประเด็นเรื่องการขโมยเทคโนโลยี
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่กดดันผู้นำจีนอยู่คือเรื่องของการขโมยเทคโนโลยีบริษัทต่างชาติ รวมไปถึงประเด็นการบังคับบริษัทต่างชาติต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ถ้าหากบริษัทเหล่านี้ต้องการที่จะสร้างโรงงานผลิตในประเทศจีน
ล่าสุดยังรวมไปถึงประเด็นที่มีการจารกรรมข้อมูล รวมไปถึงการขโมยเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาอย่างกรณีของบริษัท Micron อีก เรื่องเหล่านี้กำลังเป็นประเด็นที่จะกดดันผู้นำจีนให้หาทางลงจากประเด็นนี้ ซึ่งเรื่องนี้จะกระทบกับความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติที่รอโอกาสมากมายในประเทศจีนว่าจีนจะเปิดกว้างในเรื่องนี้จริงๆ ได้หรือไม่
ที่มา – South China Morning Post, Bloomberg [1], [2],[3]
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา