ตอนนี้ใครปรับตัวให้ทันยุคดิจิทัลก่อนเป็นผู้ชนะ ให้มายึดติดกับความสำเร็จในอดีตก็คงไม่ได้ ซึ่งแบรนด์ไทยที่เก่าแก่หลายแบรนด์ก็เริ่มเดินหน้าใช้สื่อดิจิทัลเพื่อสร้างแบรนด์ยุคใหม่ ลองมาฟังความเห็นของ ปิยะ ซอโสตถิกุล ที่ปรึกษาฝ่ายผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ หนึ่งในผู้ถือหุ้นบริษัทชั้นนำในประเทศไทย ว่ามองเห็นอะไรบ้าง
“นันยาง” กับการเดินหน้าดิจิทัลเต็มรูปแบบ
เมื่อพูดถึงตระกูลซอโสตถิกุล ในวงการธุรกิจคงนึกถึง “ซีคอน สแควร์” เป็นอย่างแรก แต่ยังมี “นันยาง” แบรนด์รองเท้าที่อยู่คนคนไทยมากว่า 60 ปี พร้อมจุดเด่นเรื่องการใช้ยางพารา 100% เพื่อผลิตรองเท้าขึ้นมา 1 คู่ ซึ่ง ปิยะ หนึ่งในกรรมการกลุ่มบริษัทนันยาง ได้บอกทีมงาน Brand Inside ว่า ตอนนี้บริษัทหันมาใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเต็มรูปแบบ สังเกตจากการไม่มีโฆษณาทางโทรทัศน์มาระยะหนึ่งแล้ว เพราะกลุ่มผู้ใช้หลักของนันยางเริ่มหันไปใช้ชีวิตอยู่บนโลกดิจิทัล ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นเรื่องจำเป็น
“นันยางเน้น Viral Marketing บนช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ผ่านการใช้กลยุทธ์ทำสื่อที่ตามกระแสข่าวในขณะนั้น รวมถึงสร้างคอนเทนต์ที่อิงกับการใช้ชีวิตประจำวันออกมาโดยตลอด เช่นตอนรถกระบะสีดำถอยชนรถเก๋งสีแดง เราก็โพสต์รูปรองเท้านันยางสีดำเหยียบอยู่บนรองเท้าคอนเวิร์สสีแดง ซึ่งรูปนั้นก็มีคนมากดไลค์เยอะมาก เราจึงรู้ว่าจะสื่อแบรนด์ไปที่กลุ่มเป้าหมายต้องทำอย่างไร นอกจากนี้เรื่องผลิตภัณฑ์ก็สำคัญเช่นกัน สังเกตจากเราพัฒนารุ่น Sugar ที่เป็นรองเท้าผ้าใบผู้หญิง ใส่ได้ทั้งเรียนทั้งเที่ยว จนมียอดจองถล่มถลาย”
Content is King ทำช่อง “วัน” ได้ทั้งเรตติ้ง ทั้งรายได้
อีกหนึ่งบริษัทที่ ปิยะ เข้าไปเป็นคณะกรรมการคือ บริษัท จีเอ็ม เอ็ม วัน ทีวี จำกัด หรือเจ้าของ “ช่องวัน” ที่กำลังไต่เรตติ้งถัดเทียมช่อง 3 และ 7 อยู่คณะนี้ โดย ปิยะ ย้ำว่า การไต่เรตติ้งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะการเข้าใจตัวเองว่าทำอะไรเก่ง และมุ่งไปด้านนั้นเต็มที่ ทำให้ขณะนี้ช่อง “วัน” ลดความสำคัญของคอนเทนต์ข่าวลงไป เนื่องจากลงทุนมากเท่าไหร่ก็สู้ช่องคู่แข่ง เช่นไทยรัฐ ทีวี ไม่ได้ จึงมุ่งมาที่คอนเทนต์วาไรตี้ เช่นละคร และรายการเกมโชว์ต่างๆ พร้อมกับใช้ช่องทางเผยแพร่ที่หลากหลาย ไม่ใช่จมอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์อย่างเดียว
“ยอมรับว่าให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ข่าวน้อยลง เพราะถึงทำไปก็สู้ช่องอื่นไม่ได้ ดังนั้นทำอะไรที่ถนัดดีกว่า เช่นดันละครเรื่อง “พิษสวาท” จนติดเรตติ้ง 7 ทิ้งห่างช่อง 3 และ 7 เยอะมาก ซึ่งผมก็งงเหมือนกันว่าทำไม่เป็นอย่างนี้ ส่วนเรื่องวาไรตี้ก็ทำให้รายการ “ศึกวันดวลเพลง” เป็นรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งเบอร์หนึ่งได้แล้ว แซงไมค์ทองคำที่เป็นเจ้าของตำแหน่งมานาน ที่สำคัญการขึ้นเป็นเรตติ้ง 4 – 5 ของช่องทีวีดิจิทัล เรายังสร้างรายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนช่องโมโนที่ฉายภาพยนตร์ทั้งวันจนเรตติ้งขึ้นมาท็อป 5 แต่เกิดรายได้น้อย”
ยึดเบอร์หนึ่งตลาดร้านอาหารไทยกับ “เอสแอนด์พี”
และอีกหนึ่งบริษัทที่ ปิยะ เข้าไปเป็นกรรมการ คือบมจ.เอส แอนด์ พี ซินดิเคท ผู้นำในตลาดร้านอาหารไทย และเบเกอรี่ มีอายุบริษัทกว่า 45 ปี และเป็นเพียงบริษัทเดียวที่ แมรี่ บัฟเฟตต์ ลูกสะใภ้ของ วอเรน บัฟเฟตต์ พ่อมดการลงทุน ตัดสินใจลงุทนในประเทศไทย เพราะความยั่งยืนของตัวธุรกิจ และกระจายธุรกิจออกไปมากกว่าแค่ร้านอาหารไทย นอกจากนี้ยังสร้างโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายภายในร้าน เช่นเมนูเครื่องดื่มซื้อ 1 แถม 1 จนเพิ่มกำไรให้กับบริษัทมากกว่าการขายครั้งละ 1 แก้ว
ปีหน้าเศรษฐกิจยังโตยาก
ด้วย ปิยะ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จึงคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจในปี 2560 ว่ายังเติบโตค่อนข้างยาก เพราะปีนี้การเติบโตของดัชนีมวลรวม หรือ GDP น่าจะเติบโตแค่ 3 – 3.5% เท่านั้น และการใช้จ่ายของภาคเอกชน กับผู้บริโภคยังชะลอตัว จึงเหลือแค่ภาครัฐที่ลงทุนเป็นหลัก โดยการลงทุนจะมาจากระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่นระบบรางเพื่อพัฒนาคมนาคม แต่ถึงเศรษฐกิจจะเติบโตยาก แต่ก็ยังมีโอกาส หากเดินตามนโยบายของรัฐบาล เช่นไทยแลนด์ 4.0 ผ่านการนำเทคโนโลยีใหม่มายกระดับธุรกิจเป็นต้น
อ้างอิงรูปภาพ : หน้าเฟสบุ๊ก ช่อง One และ นันยาง Nanyang
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา