เป็นข่าวไปตั้งแต่วันจันทร์ที่ KFC ร้านไก่ทอดชื่อดังระดับโลก ปิดให้บริการชั่วคราวในอังกฤษกว่า 575 สาขา (จากทั้งหมดกว่า 900 สาขา) เพราะ “ไม่มีไก่” ซึ่งเป็นความผิดพลาดมา จากการขนส่งไก่ของ DHL
ไม่ใช่ว่าวันต่อมาจะมีไก่มาส่งและสาขาทั้งหมดสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ เพราะปัญหาการขนส่งครั้งนี้ทำให้ KFC อีกหลายร้อยสาขายังต้องปิดไปตลอดสัปดาห์ และอีกจำนวนมากต้องลดเมนู หรือ ลดเวลาการเปิดให้บริการ
KFC เพิ่งเปลี่ยนมาใช้บริการของ DHL ตามสัญญาจ้างใหม่สดๆ ร้อนๆ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านั้น จากเดิมที่ใช้บริการของ Bidvest ถึงวันที่ 13 ก.พ. ซึ่งเรื่องนี้มีเสียงบ่นอยู่ไม่น้อย เพราะ Bidvest ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งวัตถุดิบอาหาร
ปัญหาไม่จบ กระทบเป็นลูกโซ่
ทาง KFC ของอังกฤษ ได้ออกมาประกาศว่า ยังไม่มีการคำนวณมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ 95% ของสาขา KFC ในอังกฤษ เป็นลักษณะของแฟรนไชส์ (แปลว่า เจ้าของแฟรนไชส์ รับผลกระทบหนัก) มีบางสื่อรายงานว่า ค่าเสียอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านปอนด์ต่อสาขาต่อวัน (ปอนด์ละประมาณ 43 บาท)
สำหรับพนักงานระหว่างที่สาขาปิดบริการ ทาง KFC มีนโยบายให้เป็นวันหยุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานรับจ้าง จะได้รับค่าจ้างตามชั่วโมงการทำงานปกติต่อวัน และยังได้รับการจ่ายเงินตามปกติ แต่นโยบายนี้ไม่ได้บังคับใช้กับสาขาที่เป็นแฟรนไชส์ (เพียงแต่หวังว่าเจ้าของแฟรนไชส์จะดำเนินการเช่นเดียวกัน)
แน่นอนว่า แฟรนไชส์บางสาขาก็ไม่จ่ายค่าจ้าง และพนักงานก็ไม่พอใจ เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวพนักงาน แต่ต้องรับผลกระทบไปเต็มๆ
สรุป
ประเด็นนี้กระทบกับภาพลักษณ์ธุรกิจของ DHL แบบเต็มๆ แน่นอน ซึ่ง DHL แต่ละประเทศก็แยกการดำเนินการซึ่งกันและกัน แต่ผลกระทบที่เกิดกับ KFC ก็เป็นสิ่งที่ DHL ต้องรับผิดชอบด้วย
source: BBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา