Streaming มาแรง! ตัวเลขยอดขายตั๋วหนังในอเมริกาต่ำสุดในรอบ 25 ปี นับจากปี 1992

ตัวเลขไม่เคยโกหก ยอดตั๋วหนังที่ขายไปตลอดทั้งปี 2017 ในสหรัฐอเมริกา คือ 1.239 พันล้านใบ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1992 หรือ 25 ปีมาแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะคนเลือกจะอยู่บ้านและดูคอนเทนต์ผ่านการ Streaming

ภาพจาก The Mummy Official

ข้อมูลจาก Box Office Mojo ระบุว่าปี 2017 มียอดการซื้อตั๋วหนัง 1.239 พันล้านใบ ลดลงจากปี 2016 ประมาณ 5.8% และต่ำที่สุดจากปี 1992 ที่มียอด 1.173 พันล้านใบ

สำหรับยอดรายได้การฉายหนังในปี 2016 สามารถผ่านหลัก 11.065 พันล้านดอลลาร์ไปได้ เพราะเดือน ธ.ค. มีหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Starwars The Last Jedi และ Jumanji: Welcome to the Jungle ส่งท้ายปลายปี แต่รายได้ก็ยังลดลง 2.7% เทียบกับปี 2016 ที่ทำรายได้ไป 11.377 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากค่าตั๋วที่แพงขึ้นกว่าเดิม รวมถึงราคาตั๋วสำหรับโรงหนังพิเศษ เช่น 3D, IMAX ที่มีราคาแพงกว่าการดูหนังแบบปกติด้วย

ข้อมูลจาก Box Office Mojo

หนังรีเมค, ภาคต่อ หรือ ย้อนอดีต ไม่ได้ไปต่อ

Jeff Bock นักวิเคราะห์อาวุโส บอกว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหนังมีคนดูน้อยลง เพราะตัวหนังไม่ได้ดึงดูดหรือน่าสนใจมากพอ หลายสตูดิโอสร้างหนัง นำหนังเก่ากลับมาทำใหม่ หรือ รีเมค รวมถึง การทำภาคต่อ หรือ ภาคย้อนหลัง

และส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ชม ในปี 2017 มีหลายเรื่อง เช่น Alien: Covenant ต่อยอดจาก Prometheus เล่าจุดเริ่มต้นของเอเลี่ยน, Transformers: The Last Knight หนังหุ่นยนต์แปลงร่างที่เข็นต่อมาเป็นภาคที่ 5, Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales หนังโจรสลัด มีดาราแม่เหล็กอย่าง จอนนี่ เดปป์ ทั้งหมดเป็นหนังภาคต่อ ซึ่งอาจจะประสบความสำเร็จจากรายได้ทั่วโลก แต่ในอเมริกาถือว่าทำรายได้ไม่ดีเท่าไร

ยังมีหนังอีกหลายเรื่อง เช่น The Mummy ฉบับ รีเมคใหม่หมดจากเดิมเน้นอารมณ์ขัน หนังครอบครัวเป็นแอคชั่นเต็มตัว และได้ดาราตัวพ่อ ทอม ครูซมาแสดงนำ หรือ Power Rangers หนังขบวนการ 5 สีสไตล์อเมริกัน ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แสดงให้เห็นว่าถ้าหนังมันไม่น่าดู ก็นั่งอยู่บ้านเปิด Streaming ดีกว่า

จากนี้ไป อาจเป็นปีแห่งการ Streaming

ความบันเทิงที่เรียกว่า Streaming เริ่มได้รับความนิยมมาสักพักแล้ว และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มีตั้งแต่การ Streaming โดยนักเล่นเกม (ไม่น่าเชื่อว่า แค่เล่นเกมก็มีคนมานั่งดูหลักร้อยหลักพันคน) หรือการเป็นผู้ให้บริการ เช่น Netflix, iFlix หรือ HBO ที่รวบรวมคอนเทนต์ๆ มาไว้ให้ดู

และเมื่อมียอดสมาชิกมากพอ ก็ลงทุนสร้างคอนเทนต์ของตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย เช่น Netflix ที่มีทั้ง Series ดังๆ หลายเรื่อง เช่น Strager Things หรือ HBO ที่มี Game of thrones ที่มียอดคนดูถล่มทลายทั่วโลก

Walt Disney ก็ประกาศชัดเจนว่า อยู่ระหว่างการพัฒนาบริการ Streaming ของตัวเอง คาดว่าจะให้บริการได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ยิ่งด้วยคอนเทนต์ของ Disney ที่มีอยู่เพียบ ตั้งแต่ การ์ตูน, หนังมาร์เวล และยังซื้อกิจการของ Fox เข้ามาเพิ่มอีก แสดงให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมของ Disney ที่ไม่พึ่งพาแค่การฉายหนังในโรงเพียงอย่างเดียว

ภาพจาก Game of Thrones Official

สรุป

ในประเทศไทยเองอาจยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนมากนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีหนังให้ดูได้จากหลากหลายช่องทาง มีความบันเทิงมากมายมาแย่งเวลาการดูหนังในโรง แนวโน้มอาจจะเหมือนกับในต่างประเทศ ที่คนเริ่มไปดูหนังในโรงน้อยลง

source: Business Insider

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา