Netflix มองไทยเป็นมากกว่าสถานที่ถ่ายทำ แต่คือแหล่งเรื่องราวให้โลกได้ดู หวังดันซอฟท์พาวเวอร์ไทยไปไกลกว่าเดิม

ลองจินตนาการว่า ‘ซีรีส์ไทย’ ที่คุณดูก่อนนอนเมื่อคืน ได้ สร้างงานให้คนไทยนับหมื่น และทำให้ผู้ชมอีกซีกโลกอยากจองตั๋วบินมาเที่ยวประเทศไทย

นี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เกิดขึ้นจริงแล้ว จากการลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (6,500 ล้านบาท) ของ ‘Netflix’ ในคอนเทนต์ไทยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา การลงทุนที่ทำให้เกิดซีรีส์และหนังไทยกว่า 20 เรื่อง ยอดชมรวมทะลุ 750 ล้านชั่วโมง และสร้างงานกว่า 13,500 ตำแหน่ง

Brand Inside มีโอกาสร่วมงานเปิดตัวรายงานผลกระทบ Netflix ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหมือนสแนปช็อตที่ให้เห็นว่าคอนเทนต์ไทยวันนี้ มีบทบาทแค่ไหนบนเวทีโลก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มันกำลังเปลี่ยนชีวิตคนทำงานสร้างสรรค์ในไทยให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เสวนา “คอนเทนต์ไทย กุญแจปลดล็อคการเติมโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย”

การลงทุนในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรอบตัว

บนเวทีเปิดงาน ‘ดร.ชาคริต พิชญางกูร’ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ย้ำว่า ‘อุตสาหกรรมคอนเทนต์’ คือหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

เพราะผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่ที่รายได้ของค่ายหรือทีมงาน แต่เกิดผลกระทบลูกโซ่ไปยังเศรษฐกิจอื่นๆ ในวงกว้าง ตั้งแต่ธุรกิจบริการ โลเคชันถ่ายทำ โรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี บวกกับนโยบายส่วนลดภาษีเงินสด 30% สำหรับกองถ่ายต่างชาติ

ทำให้เงินลงทุนถ่ายทำในไทยเฉพาะปีล่าสุดพุ่งกว่า 6,600 ล้านบาท เป็นภาพชัดของ ‘นวัตกรรมสาธารณ’ ที่จับมือกับ ‘ทุนเอกชน’ แล้วสร้างผลลัพธ์จริง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ประเทศ และโอกาสของแรงงานสร้างสรรค์

‘ไทย’ ศูนย์กลางคอนเทนต์ Netflix ในอาเซียน

ในมุมแพลตฟอร์ม ‘เมล-มาโลบิกา บาเนอร์จี’ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายคอนเทนต์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Netflix บอกชัดว่า ไทยคือจุดเริ่มต้นสำคัญของ Netflix ในการผลักดันคอนเทนต์ระดับภูมิภาค

ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา Netflix เดินเกมสร้างชุดคอนเทนต์ท้องถิ่นโดยคนไทยเพื่อคนไทย แล้วพาความเป็นไทยที่แท้จริงไปต่อยอดบนเวทีโลก นับตั้งแต่ The Stranded, Master of the House, Hunger, The Believers จนถึง Delete ที่ไต่ชาร์ตโลกหลายสัปดาห์

สิ่งที่น่าสนใจคือ Netflix เห็นไทยเป็นมากกว่าสถานที่ถ่ายทำ แต่เป็นแหล่งเรื่องราวที่สามารถเล่าให้คนทั่วโลกได้เห็น ทั้งในมิติพื้นที่ ภาษา และวัฒนธรรมย่อย โดยเฉพาะเมื่อเริ่มขยายการผลิต และการอบรมไปสู่ภูมิภาคนอกกรุงเทพมหานคร

หัวใจของความยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่งบโปรดักชัน แต่คือการลงทุนใน ‘คน’ แบบจริงจัง โครงการ ‘Reel Life Camp’ ของ Netflix เปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างรุ่นใหม่กว่า 145 คนได้ฝึกปฏิบัติจริง ตั้งแต่การบริหารกองถ่าย การจัดการงบโปรดักชัน ไปจนถึงโพสต์โปรดักชัน

ขณะที่ทีมโปรดักชัน Netflix ในไทยจัดเวิร์กช็อปเชิงเทคนิคให้บุคลากรแล้วกว่า 500 คน ครอบคลุมงานตัดต่อ เอฟเฟ็กต์ภาพ และการจัดการข้อมูลในกองถ่าย 

การอัปสกิลแบบนี้ทำให้ซัพพลายเชนแข็งแรงขึ้น ลดการพึ่งพาต่างประเทศ และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทีมงาน ตั้งแต่เรตค่าตัว เวลาการทำงาน ไปจนถึงคุณภาพของผลงานที่คนดูสัมผัสได้จริง

คนดูเปิดใจ ครีเอเตอร์ได้ลองของ

ฝั่งผู้สร้างก็พูดไปในทางเดียวกัน ‘ปราบดา หยุ่น’ โปรดิวเซอร์และนักเขียนบทจาก ‘Bangkok Breaking’ และ ‘ดาหลา บุปผา ฆาตกรรม’ มองว่าตอนนี้คนดูมีทางเลือกมหาศาล และเส้นแบ่งระหว่างซีรีส์กับหนังเริ่มหายไป เปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างไทยได้ทดลองเล่าเรื่องใหม่ๆ มากขึ้น

แม้การแข่งขันจะสูงและคาดเดากระแสยาก แต่ ‘ปราบดา’ มองว่านี่คือจังหวะที่ทั้งสนุกและท้าทาย เพราะคนดูเปิดใจมากขึ้น เส้นแบ่งระหว่างซีรีส์กับหนังเลือนหาย เปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างไทยได้ลองเล่าเรื่องใหม่ๆ

จุดนี้เองที่ตรงกับกลยุทธ์ ‘Local, Local, Local’ ของ Netflix ที่จะมุ่งเน้นการใช้ทีมที่เข้าใจรสนิยมคนไทย ทำงานใกล้ชิดกับครีเอเตอร์ และทำงานร่วมกับภาครัฐและอุตสาหกรรมในประเทศ เพื่อให้เรื่องเล่าที่พัฒนาในไทยมีคุณภาพและไปไกลถึงผู้ชมทั่วโลก

เมื่อมองลึกถึงขั้นตอนการทำงาน ความร่วมมือระหว่างครีเอเตอร์กับทีมคอนเทนต์ Netflix เริ่มตั้งแต่ชั้นพัฒนา พูดคุยกันเรื่องตัวละคร อารมณ์ และสารที่อยากส่งถึงผู้ชม ทำให้งานที่ออกมาไม่ได้ทำเพื่อทุกคน แต่พูดกับคนที่ใช่ และปล่อยให้ระบบแนะนำพาผู้ชมที่สนใจมาหา

ผลที่ตามมาคือ หลายเรื่องไต่ชาร์ตโลกหลายสัปดาห์ เกิดบทสนทนาข้ามพรมแดน และสร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากเดินทางมาตามรอย หรือสิ่งที่หลายคนเรียกว่า ‘Netflix Effect’

ความเป็นไทยที่ขยายตลาดได้ทั่วโลก

ทั้งหมดนี้สอดรับกับยุทธศาสตร์ ‘One-Family-One-Soft-Power’ (OFOS) ที่ตั้งเป้าสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง และรายได้กว่า 4 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมองเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นเครื่องยนต์ใหม่ของประเทศ

การที่คอนเทนต์ไทยถูกค้นพบมากขึ้น ไม่ใช่แค่สร้างความสุขให้ผู้ชม แต่สร้างการท่องเที่ยว การส่งออกบริการสร้างสรรค์ และการจ้างงานมูลค่าเพิ่มสูง เป็นโครงสร้างการเติบโตที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

ปี 2025 จึงถูกคาดหวังสูง Netflix เตรียมปล่อยออริจินัลไทยอีก 9 เรื่องต่อเนื่อง หลังความสำเร็จของ ‘Delete’ และ ‘The Believers ซีซัน 2’ ที่แฟนๆ รอคอย ขณะเดียวกันก็เดินหน้ากิจกรรมเวิร์กช็อปและขยายแคมป์ฝึกงานไปภูมิภาค เพื่อให้เสียงใหม่ๆ ได้ขึ้นจอมากขึ้น

ทั้งหมดนี้ยืนยันว่า ‘ความเป็นไทย’ ไม่ได้จำกัดตลาด แต่กำลังขยายตลาด ถ้าเรากล้าขุดลึก สร้างคนจริง และวางระบบรองรับอย่างต่อเนื่อง เมื่อแพลตฟอร์ม ภาครัฐ และครีเอเตอร์ หมุนไปในทิศทางเดียวกัน ซอฟต์พาวเวอร์ไทยก็จะไม่ใช่กระแสชั่วคราว แต่จะกลายเป็นพลังการแข่งขันที่ยั่งยืนบนเวทีโลก

ที่มา: เน็ตฟลิกซ์ในประเทศไทย: พลังขับเคลื่อนอนาคตจากการเล่าเรื่องราวท้องถิ่น

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา