ถอดรหัส 4 คลื่นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สู่ทางรอด SME ไทยในโลกยุคใหม่ให้เติบโตไปได้อีก กับหลักสูตร K SME CARE #26 จากธนาคารกสิกรไทย

โลกธุรกิจในปัจจุบันเปรียบเสมือนการเดินเรืออยู่ท่ามกลาง The Perfect Storm หรือพายุโหมกระหน่ำที่พัดคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงหลายระลอกซัดเข้ามาพร้อมกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี AI ที่กำลังพลิกโฉมวิธีการทำงานและสร้างโมเดลธุรกิจใหม่, ภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่เปลี่ยนขั้วอำนาจและสมการการค้า, โครงสร้างประชากร ที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และ ความยั่งยืน (Sustainability) ที่ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่ได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญทางการค้าและใบเบิกทางสู่ตลาดโลก

ในภาวะที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ คำกล่าวของ ดร. สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและหนึ่งในวิทยากรของหลักสูตร K SME CARE #26 ได้สะท้อนภาพความจริงไว้อย่างเฉียบคมว่า “ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดสำหรับธุรกิจในวันนี้ ไม่ใช่การแพ้ในเกมที่กำลังเล่นอยู่ แต่คือการเล่นเกมที่โลกเลิกเล่นไปแล้ว”

คำกล่าวนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการทุกคนต้องหยุดและทบทวนว่า กลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลในอดีต อาจกลายเป็นกับดักที่ฉุดรั้งธุรกิจไว้ในวันนี้ คำถามสำคัญคือ แล้วผู้ประกอบการ SME จะเตรียมพร้อมรับมือกับ “เกมใหม่” นี้ได้อย่างไร? จะมองหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤต และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้ธุรกิจได้อย่างไร?

บทความนี้คือส่วนหนึ่งจาก K SME CARE #26 หลักสูตรเสริมแกร่งธุรกิจแห่งปีที่ธนาคารกสิกรไทยจัดขึ้น  เพราะการจะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ได้ ต้องอาศัยทั้งความรู้ที่ทันสมัย เครือข่ายที่แข็งแกร่ง และความเข้าใจในภูมิทัศน์ใหม่ของโลกธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนี่คือที่มาของหลักสูตร K SME CARE #26 ที่ธนาคารกสิกรไทยตั้งใจออกแบบมาจากความเข้าใจใน insight ของลูกค้า SME อย่างแท้จริง เพื่อช่วยผลักดันให้ลูกค้าธุรกิจเติบโตต่อไปได้อีก ตามแนวคิด “WE GROOM, YOU GROW” K SME ใส่ใจให้ธุรกิจ…ไปได้อีก

มองหา “โอกาส” ท่ามกลาง 4 คลื่นยักษ์เปลี่ยนโลก

ก่อนจะไปถึงทางออก เราต้องเข้าใจ “สนามแข่งขัน” ใหม่ที่เปลี่ยนไปเสียก่อน ธนาคารกสิกรไทยได้รวบรวมมุมมองจากวิทยากรซึ่งเป็นนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ เพื่อถอดรหัสคลื่นยักษ์แต่ละลูกที่ SME ต้องเผชิญ

ดร. สันติธาร เสถียรไทย ได้ฉายภาพ 4 คลื่นยักษ์ (Megatrends) ที่กำลังก่อตัวและส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในทุกความท้าทายย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ

  • โอกาสจาก Demographics: เศรษฐกิจไทยถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “นักกีฬาสูงวัย” ที่สมรรถนะร่างกายเริ่มถดถอย ไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บชั่วคราว แต่เป็นภาวะที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ซึ่งสะท้อนผ่านโครงสร้างประชากรวัยแรงงานที่หดตัว สวนทางกับเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่ยังเปี่ยมไปด้วยพลังของคนหนุ่มสาว แต่นี่คือโอกาสมหาศาลของ Longevity Economy เมื่อคนยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่อายุยืนยาว (Lifespan) แต่ต้องการมีสุขภาพดีที่ยืนยาว (Healthspan) ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) ตั้งแต่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, อาหารเสริม, เวชศาสตร์ชะลอวัย, เทคโนโลยีเพื่อผู้สูงวัย ไปจนถึงการดูแลสุขภาพจิต กลายเป็นตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ โอกาสไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ยังขยายไปสู่หัวเมืองต่าง ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
  • โอกาสจาก Geopolitics: ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างมหาอำนาจ ทำให้โลกไม่ได้แบ่งเป็นสองขั้ว แต่แบ่งออกเป็น 3 ตลาดหลัก คือ ตลาดจีน, ตลาดสหรัฐฯ, และตลาดส่วนที่เหลือของโลก (The Rest of the World) ซึ่งตลาดที่สามนี้เองคือโอกาสสำคัญ ปรากฏการณ์ Pivot to ASEAN ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญและย้ายฐานการลงทุนมายังภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น นี่คือโอกาสของ SME ไทยในการขยายตลาดและเชื่อมต่อกับซัพพลายเชนระดับโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้เล่นต่างชาติที่เข้ามาในตลาดไทยด้วยเช่นกัน
  • โอกาสจาก AI: AI กำลังเข้ามาปฏิวัติโลกในระดับที่เรียกว่า “การปฏิวัติทางปัญญา” เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแค่เครื่องมือ แต่เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์เข้าถึงเทคโนโลยี เราสามารถสั่งการที่ซับซ้อนได้ด้วยภาษามนุษย์ธรรมดา (Natural Language) นี่คือโอกาสสำหรับ SME ที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านการเขียนโค้ดอีกต่อไป และเป็นโอกาสสำหรับทุกคนที่จะยกระดับตัวเองให้กลายเป็น “Smart Cyborg” หรือผู้ที่เก่งทั้งในงานของตนและใช้ AI ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อสร้างความได้เปรียบที่คู่แข่งตามไม่ทัน สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทักษะ 4 ด้าน คือ Proficiency ใช้ให้คล่อง, Immunity รู้ว่าอะไรไม่ควรใส่ใน AI, Depth ใช้ความรู้เชิงลึกของเราต่อยอด และ Empathy ใช้ความเข้าอกเข้าใจซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ทดแทนไม่ได้
  • โอกาสจาก Sustainability: เทรนด์ความยั่งยืนกำลังกลายเป็นแกนหลักของธุรกิจที่ถูกขับเคลื่อนโดย 4 กลไกสำคัญ หรือ 4 Greens คือ Green Capital เงินทุนจากนักลงทุนและสถาบันการเงินที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น, Green Consumer ผู้บริโภคยุคใหม่ที่พร้อมจ่ายแพงขึ้นเพื่อสนับสนุนแบรนด์สีเขียว, Green Tech เทคโนโลยีสีเขียว เช่น โซลาร์เซลล์ ที่มีราคาถูกลงและเข้าถึงง่ายขึ้น และ Green Policy นโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมและบังคับใช้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือกเพื่อสังคม แต่เป็น “ใบเบิกทาง” ในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว

เจาะลึก AI เมื่อปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือผู้ช่วยคนสำคัญ

คุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่ม KBTG ได้ตอกย้ำถึงความเร่งด่วนของการปรับตัวเข้าสู่ยุค AI โดยชี้ว่าโลกธุรกิจมีเวลาอีกไม่เกิน 5 ปีในการเตรียมองค์กรให้พร้อมเข้าสู่ยุค “Autonomous Business” ที่ระบบต่าง ๆ สามารถทำงานและตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์

คุณกระทิงย้ำว่า “AI ที่คุณใช้ในปัจจุบัน จะเป็นเวอร์ชันที่แย่ที่สุดที่คุณเคยใช้” ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการพัฒนาแบบก้าวกระโดด แต่ AI ไม่ได้จะมาแทนที่มนุษย์ แต่จะเข้ามาเป็น Co-pilot หรือผู้ช่วยคนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้นอย่างมหาศาล KBTG เองได้นำ AI มาช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดไปแล้วกว่า 10 ล้านบรรทัด ทำให้ Productivity เพิ่มขึ้นมหาศาล

แล้ว SME ควรจะเริ่มอย่างไร? คุณกระทิงแนะนำหลักการ “Human-First” 4 ข้อ

  • นำ AI มาใช้เสมอ (Always bring AI on the table): ผู้นำต้องเปิดใจและนำเครื่องมือ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในทุกกระบวนการ เพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ
  • ให้มนุษย์มีส่วนร่วมเสมอ (But keep human in the loop): ใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการวิเคราะห์และเสนอแนวทาง แต่การตัดสินใจสุดท้ายยังต้องมาจากมนุษย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เพราะ AI ยังขาดสัญชาตญาณและความเข้าใจในอารมณ์
  • มอบบทบาทให้ AI เป็นเพื่อนคู่คิด (Assign role for AI as your companion): มอง AI เป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานที่ช่วยคิดวิเคราะห์และเสนอแนวทาง ไม่ใช่แค่เครื่องมือสั่งงาน
  • ผู้นำต้องลงมือใช้เอง: ผู้นำองค์กรต้องลงมือใช้ AI ด้วยตนเองจนเข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัดของมันอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะนำมาปรับใช้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องเริ่มต้นจาก Use Case หรือปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในธุรกิจ ไม่ใช่เริ่มจากเทคโนโลยี

กรณีศึกษา: เปลี่ยน “ความยั่งยืน” ให้เป็น S-Curve ใหม่ของธุรกิจ

เพื่อให้เห็นภาพว่า “ความยั่งยืน” สามารถสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้อย่างไร กรณีศึกษาของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH โดย คุณสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

TEGH ได้เปลี่ยนผ่านจากธุรกิจที่เผชิญ Pain Point จากของเสียในโรงงานยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งเคยเป็น “ต้นทุน” ที่ต้องกำจัดทิ้ง สู่การสร้างโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า “Thai Eastern Symbiosis” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนของเสีย (Waste) จากกระบวนการหนึ่ง ให้กลายเป็นวัตถุดิบ (Input) ของอีกกระบวนการหนึ่ง สร้างระบบนิเวศที่เกื้อกูลกันและลดของเสียให้เป็นศูนย์

  • เปลี่ยนน้ำเสียเป็นพลังงาน: นำน้ำเสียจากกระบวนการผลิตมาหมักในบ่อปิด จนได้ ก๊าซชีวภาพ (Biogas) เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซ LPG ในกระบวนการอบยาง และผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เอง ทำให้ปัจจุบันสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ถึง 79.8% เป็นการเปลี่ยนต้นทุนค่าบำบัดน้ำเสียและค่าพลังงานให้กลายเป็นศูนย์
  • เปลี่ยนกากตะกอนเป็นรายได้: นำของเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วไปทำเป็น สารปรับปรุงดิน (Soil Conditioner) ที่มีคุณภาพ เพื่อขายและคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับสวนของเกษตรกรในเครือข่าย

ผลลัพธ์คือ TEGH ไม่เพียงแต่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 224,794 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และได้รับการจัดอันดับ SET ESG Rating ในระดับ AAA ทั้งยังสามารถเปลี่ยน “ต้นทุน” ให้กลายเป็น “รายได้” และสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้ธุรกิจ เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ทำให้มีน้ำใช้ได้นาน 18 เดือนแม้ฝนไม่ตก นี่คือบทพิสูจน์ว่า Sustainability ไม่ใช่แค่เรื่อง CSR แต่คือการสร้าง S-Curve ใหม่ที่ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

คำตอบที่ใช่…สู่การเติบโตที่ยั่งยืนภายใต้แนวคิด “WE GROOM, YOU GROW”

จากภาพทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการอยู่รอดและเติบโตในโลกธุรกิจยุคใหม่นั้นซับซ้อนและต้องการอาวุธรอบด้าน การมีความรู้เพื่อก้าวทันโลกจึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

สิ่งที่บทความนี้นำเสนอ เป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ความรู้จากคลาสเรียนที่ได้นักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศมามอบมุมมองและเปิดวิสัยทัศน์ แต่หัวใจสำคัญของหลักสูตร K SME CARE #26 ที่ธนาคารกสิกรไทยตั้งใจออกแบบจากความเข้าใจในลูกค้า SME อย่างแท้จริง คือการเปลี่ยนความรู้เหล่านั้นให้กลายเป็นการลงมือทำที่จับต้องได้

นอกเหนือจากการติดอาวุธทางปัญญาแล้ว ผู้เข้าอบรมยังได้รับการติวเข้มด้วย เวิร์คช็อปที่เจาะลึกรายอุตสาหกรรม เพื่อหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจของตนเองโดยเฉพาะ พร้อมรับคำปรึกษาอย่างใกล้ชิดจาก โค้ชรุ่นพี่ ที่เป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและผ่านสมรภูมิจริงมาแล้ว เพื่อร่วมกันหาทางออกและสร้างกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่นำไปใช้ได้ทันที แล้วยังได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ K SME CARE Network เครือข่ายนักธุรกิจกว่า 14,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างไม่หยุดยั้ง

ทั้งหมดนี้คือการขมวดกลับมาที่เจตนารมณ์และคำมั่นสัญญาของธนาคารกสิกรไทย ที่ต้องการเป็นมากกว่าผู้ให้บริการทางการเงิน แต่คือพาร์ทเนอร์ที่พร้อมจะสนับสนุนให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตต่อไปได้อีกอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เพราะธนาคารเชื่อเสมอว่า เมื่อลูกค้าเติบโต ธนาคารก็จะเติบโตไปด้วยกัน นี่คือความหมายที่แท้จริงของ “WE GROOM, YOU GROW” K SME ใส่ใจให้ธุรกิจ…ไปได้อีก

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Branded Content เป็นบทความที่ได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์