บ้านปูฝ่ามรสุมราคาถ่านหิน เดินหน้าลงทุน “พลังงานอนาคต” เต็มสูบ แม้ครึ่งแรกปี 68 ขาดทุนจากค่าเงินบาท

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน แม้บริษัทจะรายงานผลขาดทุนสุทธิ แต่หากมองลึกลงไปในรายละเอียด จะเห็นภาพการเดินเกมรุกครั้งสำคัญตามกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ ที่มุ่งเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่พลังงานแห่งอนาคตอย่างชัดเจน

โจทย์ใหญ่ ราคาถ่านหินดิ่ง ฉุดผลประกอบการ

ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 ของบ้านปูสะท้อนความท้าทายอย่างชัดเจน โดยมีรายได้รวม 2,521 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท) แต่สุดท้ายบริษัทรายงาน ขาดทุนสุทธิ 42.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,428 ล้านบาท)

อย่างไรก็ดี บ้านปูชี้แจงว่าผลขาดทุนดังกล่าวเกิดจากการรับรู้ “ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง” จากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีและไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดหรือความแข็งแกร่งในการดำเนินงานของบริษัท

ปัจจัยหลักที่กดดันผลประกอบการมาจาก “ธุรกิจเหมือง” ที่แม้จะผลิตและขายได้ในปริมาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ต้องเผชิญกับสภาวะราคาถ่านหินในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาส บ้านปูได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน โดยเฉพาะโครงการ Value Efficiency Program ในออสเตรเลียที่ช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ

เกมรุก 3 กลุ่มธุรกิจ เดิมพันอนาคตที่ชัดเจน

สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปูฯ ย้ำว่าความคืบหน้าที่โดดเด่นมาจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการเดินหน้าตามกลยุทธ์ Energy Symphonics ได้อย่างน่าสนใจ

1. กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน จาก ‘ถ่านหิน’ สู่ ‘ก๊าซ’ และ ‘แร่แห่งอนาคต’

  • ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ กลายเป็นพระเอกของกลุ่มนี้อย่างแท้จริง แม้ปริมาณขายจะใกล้เคียงเดิม แต่ราคาขายเฉลี่ยขึ้นไปอยู่ที่ 2.92 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู จากเดิม 1.82 เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังมีการลงทุนครั้งใหญ่ผ่านการเข้าซื้อกิจการ Bedrock Production ในแหล่งบาร์เน็ตต์ รัฐเท็กซัส ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล และยังเดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) อย่างจริงจัง ตอกย้ำทิศทางพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้น
  • ธุรกิจเหมืองยุคใหม่ ก้าวที่น่าจับตามองที่สุดคือการเข้าลงทุนใน PT Aneka Tambang (AKP) ที่อินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นการเข้าสู่ “อุตสาหกรรมนิกเกิล” ครั้งแรก การเคลื่อนไหวนี้เป็นการวางหมากเพื่อเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตั้งแต่ต้นน้ำ

2. กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน รักษาฐานที่มั่นคง เสริมพอร์ตพลังงานหมุนเวียน

กลุ่มนี้ยังคงเป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง โดยโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พอร์ตพลังงานหมุนเวียนเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 969 เมกะวัตต์

3. กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ปักหมุด New S-Curve

บ้านปูแสดงความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในเทคโนโลยีพลังงานอย่างเต็มตัว ผ่านการดำเนินงานของ “บ้านปู เน็กซ์”

  • ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ออสเตรเลีย (WESS) ด้วยกำลังผลิตถึง 350 เมกะวัตต์ และความจุ 1,400 เมกะวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับพลังงานหมุนเวียน
  • การจัดการและซื้อขายพลังงาน ไม่เพียงแค่การจับมือกับพันธมิตรในญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มลดคาร์บอน แต่ยังนำระบบ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการคาดการณ์ราคาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งเป็นการยกระดับความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจนี้โดยตรง

บทสรุป เปลี่ยนผ่านอย่างมียุทธศาสตร์

ภาพรวมครึ่งปีแรกของบ้านปูในปี 2568 หากวิเคราะห์ในเชิงกลยุทธ์แล้ว นี่คือช่วงเวลาแห่งการลงทุนเพื่ออนาคต บ้านปูกำลังใช้ความแข็งแกร่งของธุรกิจเดิมเป็นฐานในการหมุนเวียนเงินทุนไปสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ, เทคโนโลยี CCUS, ระบบกักเก็บพลังงาน และล่าสุดคือแร่นิกเกิล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกพลังงานในยุคต่อไป

ดังนั้น ผลขาดทุนทางบัญชีในครั้งนี้อาจเป็นเพียงภาพสะท้อนระยะสั้นของความผันผวน แต่การกระทำและการลงทุนที่เกิดขึ้น คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า “บ้านปู” กำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานที่ยั่งยืน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา