จากที่เคยเป็นทางเลือกในประเทศร่ำรวย ’รถยนต์ไฟฟ้า’ กำลังกลายเป็นกระแสหลักในหลายมุมโลก รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอย่าง ‘เนปาล’ ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง
‘เนปาล’ กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้เร็วที่สุดในโลก ภายในเวลาแค่ 5 ปี จากประเทศที่แทบไม่มี EV เลย กลับมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 76% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขายทั้งหมด
ซึ่งตัวเลขนี้ อยู่ในระดับเดียวกับ ‘นอร์เวย์’ ‘สิงคโปร์’ และ ‘เอธิโอเปีย’ แล้ว โดยมีปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างนโยบายรัฐที่ชัดเจน การใช้พลังงานสะอาดจากเขื่อน และแรงสนับสนุนจากจีนที่เร่งส่งออกรถไฟฟ้าราคาย่อมเยาไปยังตลาดใหม่ทั่วโลก
กระแสนี้สอดคล้องกับแนวโน้มระดับโลก โดยรายงานจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2024 ทะลุ 17 ล้านคัน คิดเป็นกว่า 20% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมด และคาดว่าจะแตะ 25% ในปี 2025 แต่สำหรับในเนปาล ตัวเลขนี้พุ่งไปถึง 76% แล้ว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ‘ราคา’ โดยรัฐบาลเนปาลตั้งภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าไว้แค่สูงสุด 40% ในขณะที่รถใช้น้ำมันโดนเก็บภาษีสูงถึง 180% ทำให้รถไฟฟ้าราคาถูกลงแบบเห็นได้ชัด
ตัวอย่างเช่น รถ SUV ไฟฟ้าของ Hyundai ขายในเนปาลในราคาต่ำกว่า 38,000 ดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 1.23 ล้านบาท ในขณะที่รุ่นสันดาปอยู่ที่ประมาณ 40,000 ดอลลาร์ฯ หรือเกือบ 1.30 ล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังลงทุนสร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้า 62 แห่งทั่วประเทศ และสนับสนุนให้เอกชนติดตั้งเองเพิ่มเติมอีกกว่า 1,200 จุด โดยช่วยแจกหม้อแปลงไฟฟ้า ลดภาษีนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง และตั้งราคาค่าไฟสำหรับชาร์จต่ำกว่าราคาตลาด เปิดทางให้โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าริมถนนเริ่มติดตั้งสถานีชาร์จของตัวเอง
ไม่เพียงเท่านี้ ‘จีน’ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะรถไฟฟ้าจากแบรนด์จีน เช่น BYD กำลังหลั่งไหลเข้าเนปาลในราคาที่เอื้อมถึง และคุณภาพดี
‘Yamuna Shrestha’ นักธุรกิจที่เริ่มจากการขายอุปกรณ์โซลาร์ เห็นโอกาสและคว้าใบอนุญาตจัดจำหน่ายรถ BYD ตั้งแต่หลายปีก่อน ตอนนี้ Yamuna มีโชว์รูม 18 แห่ง และคาดว่าจะขายได้ 4,000 คันในปีนี้
ผลที่ตามมา คือรายได้ภาษีรถลดลง
แต่อีกด้านหนึ่ง ความกังวลก็เริ่มปรากฏ ธนาคารกลางเนปาลเพิ่งปรับขึ้นเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับรถ EV และรัฐบาลเริ่มทยอยขึ้นภาษีนำเข้าเล็กน้อย เพราะรายได้จากภาษีรถลดลง ทำให้หลายฝ่ายกลัวว่านโยบายจะถอยหลังเร็วเกินไป
อีกประเด็นใหญ่คือ การจัดการแบตเตอรี่ ตอนนี้เนปาลยังไม่มีระบบเก็บและรีไซเคิลแบตเตอรี่อย่างเป็นทางการ ขณะที่ผู้จัดจำหน่ายบางรายเริ่มกังวลว่า รถ EV ราคาถูกจากแบรนด์โนเนมของจีน อาจทำให้ความเชื่อมั่นใน EV เสื่อมลง หากไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีพอ
นอกจากนี้ แม้รถยนต์ส่วนบุคคลจะกลายเป็นไฟฟ้าแล้ว แต่ระบบขนส่งมวลชน ยังคงใช้รถดีเซลเป็นหลัก ชาวเนปาลส่วนใหญ่ยังพึ่งพารถจักรยานยนต์ และรถโดยสารราคาถูก
รัฐวิสาหกิจก็เพิ่งเพิ่มรถโดยสารไฟฟ้า 41 คัน แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ควรมีอย่างน้อย 800 คันถึงจะสร้างระบบที่ใช้งานได้จริง โชคดีที่รัฐบาลจีนเสนอจะบริจาครถบัสไฟฟ้าให้ฟรีอีก 100 คัน
แค่สถานีชาร์จ-ลดภาษี ยังไม่พอ
ตามรายงานของ IEA คาดว่าภายในปี 2030 รถไฟฟ้าจะครองส่วนแบ่งตลาดเกิน 40% และประเทศกำลังพัฒนาจะกลายเป็นกำลังหลักของการเติบโตในเฟสต่อไป
ซึ่งเนปาลก็กำลังเป็นตัวอย่างว่า ประเทศเล็กๆ ที่มีรายได้ต่อหัวราว 1,400 ดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 45,500 บาท ก็สามารถก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดได้ โดยไม่ต้องพึ่งผ่านยุคน้ำมันแบบเดิม ถ้ามีการวางนโยบายและลงทุนอย่างถูกจุด
อย่างไรก็ตาม เนปาลยังต้องอาศัยอะไรมากกว่าสถานีชาร์จหรือภาษีที่ถูก แต่ต้องมีเสถียรภาพทางการเมือง นโยบายระยะยาว ระบบขนส่งมวลชนที่เข้าถึงได้ และระบบจัดการแบตเตอรี่ที่ยั่งยืน หากทำได้ครบ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV ของเนปาล อาจกลายเป็นต้นแบบให้กับทั้งโลกก็ได้
- SHARGE บอกคนไทยชาร์จไฟ EV เพิ่มขึ้นมาก พุ่งจากปีก่อน 4 เท่า เฉลี่ยทะลุสัปดาห์ละ 13,000 ครั้ง
- ตลาดกระบะไทยหดแรง Ford ประเทศไทย มั่นใจ Ranger–Everest ยังเอาอยู่ รอจังหวะ EV ไม่ตามกระแส
ที่มา: The New York Times, องค์การพลังงานระหว่างประเทศ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา