จีนไม่มา แต่ ‘เอเชียทีค’ ยังโต เพราะปรับตัวหาคนไทย อยากให้มาเที่ยวทุกวัน ไม่ใช่แค่เทศกาล

นักท่องเที่ยวหด คนจีนหาย ใครๆ ก็ต้องคิดว่า ‘เอเชียทีค’ กระทบแน่ แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะไม่ใช่แค่จำนวนคนเดินเข้าศูนย์การค้า แต่ยอดขายของเอเชียทีคในช่วงที่ผ่านมาก็ยังเติบโตด้วย 

Brand Inside มีโอกาสได้คุยกับ ‘อานนท์ วิทยะสิรินันท์’ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น และ Jurassic World: The Experience เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในงาน KTC FIT TALK ครั้งที่ผ่านมาจึงเก็บมาเล่าให้ทุกคนฟัง

รู้ตัวก่อนนักท่องเที่ยวจีนหาย เลยหันจับนักท่องเที่ยวไทย

ไม่ได้เริ่มทำปีนี้ แต่ ‘เอเชียทีค’ เริ่มมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว

“เราเห็นข่าวและโมเมนตัมฟีดแบคของทางจีน เราไม่ได้ติดตามแค่ฟีดแบคของเอเชียทีคอย่างเดียว แต่ติดตามการพูดถึงประเทศไทยและกรุงเทพในโซเชียลมีเดียของจีนด้วย ฟีดแบคไม่สวยแบบที่เราคิดไว้ เราเลยเริ่มคิดว่าต้องทำแคมเปญสำหรับคนไทยมากขึ้น”

วิธีการของ เอเชียทีค เริ่มจากปรับร้านค้าภายในศูนย์ให้เหมาะกับลูกค้าไทยมากขึ้น เน้นกลุ่ม ‘กินดื่ม’ หรือแฮงเอาท์เป็นหลัก ดึงเอาร้านอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาเติมในพื้นที่ที่เดิมมีร้านค้าสำหรับนักท่องเที่ยวครองพื้นที่ส่วนใหญ่ เพราะเมื่อก่อนเวลาคนคิดถึงเอเชียทีคก็จะคิดถึงกางเกงช้างหรือสินค้าจากทุเรียนมากกว่า

ที่สำคัญคือเอเชียทีคยังไปดึงเอา มินิโซ แฟล็กชิป สโตร์ มาเปิดเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่ ‘อานนท์’ บอกว่าช่วยดึงคนไทยมาต่อแถวรอซื้อได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการ

นอกจากนั้น นับตั้งแต่ช่วงต้นปีเอเชียทีคยังได้ปรับใหม่ หันมาเลือกศิลปินไทยที่สามารถดึงดูดลูกค้าไทยมาขึ้นแสดงในเทศกาลเคาทดาวน์ และยังพยายามให้เอเชียทีคมีภาพลักษณ์ที่เด็กลง ดึงดูดลูกค้า Gen Z เข้ามามากขึ้น ผ่านการเลือกศิลปิน T-POP รุ่นใหม่เข้ามาแสดงผ่านในพื้นที่ จนไปถึงการขยับไปทำคอนเทนต์บนโลกโซเชียลมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา

จนตอนนี้ เอเชียทีคมีลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้นมาเป็น 40% จากเดิมที่มีลูกค้าคนไทยอยู่ราว 20% เท่านั้น โดยลูกค้าไทยส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่ม Young Adult ที่มาแฮงเอาท์กันในช่วงเย็น

ไม่ใช่แค่จูราสสิคอย่าง เตรียมดึงแอทแทรคชันมาลงอีกเพียบ

อีกหนึ่งวิธีการปั้นฐานลูกค้าไทยของเอเชียทีคคือการดึงเอา สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มในพื้นที่ โดยล่าสุดได้ประกาศว่าจะยกเอา Jurassic World: The Experience เข้ามาเปิดในประเทศไทยเป็นครั้งแรกช่วงต้นเดือนสิงหาคม 

เพราะมองว่า Jurassic World: The Experience จะสามารถดึงลูกค้าได้หลากหลายเซกเมนต์ ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงลูกค้ากลุ่ม Young Adult ด้วย พร้อมๆ กับเร่งเติมร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ กลายเป็นแหล่งชิลริมแม่น้ำ ถ้าลูกค้าพาครอบครัวมาเที่ยวเอเชียทีค พ่อแม่ก็สามารถพาลูกไปดูไดโนเสาร์ นั่งกินข้าวรอในร้านอาหาร ขณะที่ปู่ย่านั่งชิลริมแม่น้ำได้

“คนไทยส่วนใหญ่คิดว่าเอเชียทีคเปิดตอนเย็น แต่เราอยากจะเป็น Allday Everyday Happiness สำหรับลูกค้า เราเลยนำ Jurassic World: The Experience ที่เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้ามาดึงดูด”

และไม่ใช่แค่ ‘จูราสสิค’ เท่านั้น แต่ในอนาคตอันใกล้อย่าง 2-3 ปีข้างหน้านี้เอเชียทีคจะดึงเอาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เข้ามาอีกหลายอย่างแบบเบิ้มๆ เรียกว่ามีหลายอย่างในที่เดียว

เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่อย่างการเป็น Lifestyle Retail เพราะอยากให้ลูกค้ามาใช้เวลาในเอเชียทีคได้ตลอดทั้งวันและทุกวัน ไม่ต้องรอเทศกาลอย่างปีใหม่หรือลอยกระทงก็สามารถมาแวะใช้เวลาที่เอเชียทีคได้เหมือนกัน

‘อานนท์’ บอกว่า อาจจะค่อนข้างเซอไพร์ซหลายคน เมื่อบอกว่าในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งจำนวนผู้เข้ามาเที่ยวและยอดขายของเอเชียทีคยังคงเติบโตขึ้น แม้จะเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบตอนนี้

ตอนนี้ไทยโลว์ซีซันทั้งประเทศ เวียดนามคือดาวรุ่ง

ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติตอนนี้ยังมีสัดส่วนราว 60% ของลูกค้าทั้งหมด แต่สัญชาติของลูกค้าเปลี่ยนไปเป็นนักท่องเที่ยวชาติอื่นแทนจีน (ที่เคยมีสัดส่วนกว่า 50% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด) ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่เป็นกลุ่มใหญ่สุด ตามด้วยเอเชียกลางและตะวันออกกลางที่เข้ามาเพิ่มขึ้น 

กลุ่มนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดตอนนี้ เรียกว่าตรงกับเป้าหมายของเอเชียทีคอยู่แล้ว และเป็นกลุ่มที่ได้มาจากการลุยดึงอินฟลูเอนเซอร์เข้ามาทำคอนเทนต์เป็นหลัก 

ซึ่งสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% และนักท่องเที่ยวไทย 40% เป็นสัดส่วนที่ทางเอเชียทีคพอใจ แต่ยังอยู่ระหว่างการจัดสรรสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากแต่ละชาติให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและยั่งยืนด้วย

ด้านภาพรวมท่องเที่ยวไทย ผู้บริหารของ ‘เอเชียทีค’ มองว่าตอนนี้เป็นโลว์ซีซันของประเทศไทยทั้งประเทศ นับตั้งแต่พฤษภาคมเป็นต้นมา คนส่วนใหญ่เงินหมด ฝนตกหนัก และเจอกับหลายๆ เหตุการณ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเบามากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ช่วงโควิด-19

และ ‘อานนท์’ ยืนยันว่า เชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้งในอนาคต แต่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบและจุดหมายปลายทาง อาจจะเปลี่ยนจากเมืองหลักเป็นเมืองรองมากขึ้น “ตอนนี้ยอมรับว่าเวียดนามกลายเป็นดาวรุ่ง” แต่ก็ยังมั่นใจว่าประเทศไทยแข็งแรงเพียงพอที่จะดึงนักท่องเที่ยวกลับมาได้

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา