เรียนไอที ก็ตกงานได้ ผลสำรวจพบเด็กรุ่นใหม่แห่เรียน แต่บริษัทเทคเริ่มหั่นงบ-เอา AI มาแทนที่

เรียน ‘ไอที’ ไป จะได้ไม่ตกงาน ดูเหมือนจะไม่เป็นความจริงอีกต่อไป …

ตามรายงานของ Newsweek บอกว่าเด็กจบใหม่จากสาขา ‘วิทยาการคอมพิวเตอร์’ หรือ ‘Computer Science’ (CS) กำลังเจอกับอัตราการว่างงานที่สูงกว่าที่หลายคนคิด แถมถ้าได้งานแล้วก็ยังเสี่ยงโดนเลย์ออฟ หรือถูก AI แย่งงานได้ง่ายๆ อีกด้วย

ประเด็นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางนิวยอร์ก พบว่าตอนนี้เด็กจบใหม่สายคอมพิวเตอร์ตกงานมากกว่าสาขาอื่นๆ โดยคนที่เรียนสาย CS ว่างงานอยู่ที่ 6.1% ส่วน ‘วิศวกรรมคอมพิวเตอร์’ หรือ ‘Computer Engineering’ ยิ่งสูงขึ้นไปอีกที่ 7.5% ทั้งที่ค่าเฉลี่ยของเด็กจบใหม่ทุกสาขาอยู่ที่แค่ 5.8% ตามข้อมูลปี 2023

พูดง่ายๆ คือ สาขาที่เคยถูกมองว่าเป็น ‘ใบเบิกทาง’ สู่อนาคตที่ ‘มั่นคง’ ตอนนี้กลับเจอปัญหาว่างงานมากกว่าค่าเฉลี่ยเสียอีก ยิ่งกว่านั้น หากเทียบกับสาขาที่มักถูกมองว่าหางานยาก อย่าง ‘มานุษยวิทยา’ หรือ ‘ฟิสิกส์’ เด็กจบสายคอมก็ยังตกงานเยอะกว่า โดยวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ติดอันดับ 3 ของสาขาที่ว่างงานมากที่สุด ส่วนวิทยาการคอมพิวเตอร์อยู่ในอันดับ 7

ที่น่าสนใจคือ แม้แต่อาชีพ ‘นักข่าว’ ที่มักถูกเตือนว่าธุรกิจกำลังตาย ก็ยังมีอัตราการว่างงานน้อยกว่า คือแค่ 4.4%

‘Bryan Driscoll’ ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรบุคคลและธุรกิจ ให้สัมภาษณ์กับ Newsweek ว่า ความฝัน “เรียนโค้ดแล้วจะรอด” สุดท้ายไม่ตรงกับความจริงของตลาดเลย และไม่สอดคล้องกับระบบการจ้างงานที่มีแต่จะกีดกันมากขึ้นเรื่อยๆ

เนื่องจากมหาวิทยาลัยผลิตคนจบด้านนี้เยอะเกินไป แต่ไม่ได้แก้ปัญหาว่า อุตสาหกรรมเทคหางานยาก แถมยังเต็มไปด้วยอุปสรรคอีกต่างหาก

“ตำแหน่งสำหรับเด็กจบใหม่หายไปเรื่อยๆ ฝึกงานก็ยังไม่ได้ค่าจ้างในหลายที่ แล้วบริษัทก็ย้ายงานออกนอกประเทศ หรือใช้ระบบอัตโนมัติมาแทนที่เด็กกลุ่มนี้ที่เรียนมาโดยตรง”

นอกจากนี้ การมาของ AI ที่สามารถทำงานหลายอย่างแทนมนุษย์ได้แล้ว โดยเฉพาะงานโค้ดระดับเริ่มต้น ที่แต่ก่อนเคยเป็นบันไดก้าวแรกให้เด็กรุ่นใหม่ นี่จึงกลายเป็นเหมือนวิกฤติในวงการเทคอีกระลอก หลังจากที่หลายบริษัทเพิ่งเลย์ออฟคนไปเยอะช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

สถานการณ์แบบนี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า แล้วคนรุ่นใหม่ที่กำลังเรียนหรือเพิ่งจบสายคอม จะไปทางไหนต่อได้บ้าง เพราะในขณะที่โอกาสงานลดลง แต่จำนวนคนที่เข้าสู่สนามแข่งขันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

‘Michael Ryan’ กูรูด้านการเงิน เจ้าของเว็บ MichaelRyanMoney มองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมสร้างภาพฝันให้กับคนรุ่นใหม่ว่า ถ้าเรียนโค้ด ก็จะได้เป็นเจ้าของสตาร์ทอัป หรือได้ทำงานเงินเดือนสูงๆ ในซิลิคอนแวลลีย์ ทั้งที่ความจริง อุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนไป

“เดี๋ยวนี้เด็กทุกคนมีแล็ปท็อป ก็คิดว่าตัวเองจะเป็น Zuckerberg คนต่อไป แต่จริงๆ หลายคนยังดีบั๊กโค้ดง่ายๆ ไม่ได้เลย”

‘Ryan’ มองว่าทุกคนแห่กันไปเรียนเขียนโค้ด เพราะคิดว่าจะมีงานดีๆ รออยู่ แต่ความจริงคือ ตลาดเปลี่ยนไปแล้ว บริษัทต่างๆ ลดทีมวิศวกรลงไปเกือบครึ่ง แต่คนที่เรียนสายคอมกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคนเยอะกว่างาน เงินเดือนก็เลยตก

แล้วเด็กกลุ่มนี้จะไปทางไหนต่อ หลายคนเริ่มคิดจะกลับไปเรียนต่อสายอื่นที่มีโอกาสได้งานมากกว่า บางคนก็ต้องดิ้นรนประคองชีวิตกันสุดๆ ถึงขั้นมีคนหนึ่งที่เคยทำงานเทคแล้วถูกเลย์ออฟ ให้สัมภาษณ์กับ SFGATE ว่าเธอต้องไปขาย ‘พลาสมา’ เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ

ตลาดไอที-วิศวะในไทย ต้องการเฉพาะคนมีประสบการณ์

สถานการณ์ในไทยก็สะท้อนปัญหาในลักษณะเดียวกัน เมื่อรายงานจาก ‘สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย’ (TDRI) วิเคราะห์ข้อมูลจากประกาศรับสมัครงานออนไลน์กว่า 23 เว็บไซต์ในช่วงไตรมาส 4/2024

โดยทีม Big Data ของ TDRI พบว่า แม้งานด้านคอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ สถาปัตยกรรม และวิศวกรรม จะยังเป็นกลุ่มวิชาชีพที่มีความต้องการในตลาดแรงงาน แต่ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ และประสบการณ์สูง จากสัดส่วนงานที่ ‘ไม่ต้องการประสบการณ์’ มีเพียง 15-18% ขณะที่มากกว่า 70% ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า เด็กจบใหม่อาจแทบไม่มีที่ยืนในตลาดแรงงานสายเทคนิคเหล่านี้ แม้จะเรียนจบจากสาขาที่ตลาดยังต้องการก็ตาม และเมื่อไม่มีประสบการณ์ ก็ไม่มีโอกาสสมัครงาน วัฏจักรที่วนซ้ำนี้ ทำให้ผู้จบใหม่จำนวนมากติดกับดัก “ไม่มีงาน = ไม่มีประสบการณ์ = ไม่มีงาน” ในที่สุด

TDRI เสนอว่ารัฐบาลควรเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ในเชิงโครงสร้าง เช่น การส่งเสริมการฝึกงาน อย่างจริงจัง และร่วมมือกับภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกแบบระบบฝึกงานที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานจริง 

ขณะเดียวกัน ควรส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาเปิดหลักสูตรรูปแบบ ‘ทวิภาคี’ หรือ ‘สหกิจศึกษา’ ให้มากขึ้น เพื่อให้นักศึกษามีโอกาสฝึกประสบการณ์ทำงานจริงตั้งแต่ในระหว่างเรียน เพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ตลาดงานหลังเรียนจบ และลดระยะห่างระหว่าง ‘ใบปริญญา’ กับ ‘โลกการทำงาน’ อย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา: Futurism, Newsweek, Blognone

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา