Meta เหมาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Constellation Energy ซื้อไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี

นี่คือดีลระยะยาว 20 ปี ที่ Meta ยอมทำเพราะไม่อยากแพ้ในศึก AI

Meta

Meta ประกาศตกลงซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Clinton Clean Energy Center ในรัฐอิลลินอย ของบริษัท Constellation Energy เป็นระยะเวลา 20 ปี เพื่อนำมาใช้กับศูนย์ข้อมูลของ Meta ในภูมิภาค

สำหรับดีลนี้ Meta บอกว่าจะเริ่มซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2027 เป็นขนาด 1.121 กิกะวัตต์ ซึ่งเป็นกำลังการผลิตทั้งหมดของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ โดย Meta จะร่วมลงทุนในส่วนขยายกำลังการผลิต และช่วยต่อใบอนุญาตให้โรงไฟฟ้านี้ที่เดิมอาจต้องปิดดำเนินการด้วย

Meta

ไม่ว่าใครก็ดีลกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

นี่แค่ส่วนยอด ของภูเขาน้ำแข็งทั้งลูก เพราะดีลนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘แผนใหญ่’ ที่ประกาศไปปลายปีก่อนของ Meta โดยจะเปิดรับข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ระดับ 1-4 กิกะวัตต์

Meta บอกว่าบริษัทยังอยู่ในขั้นตอนการประเมินข้อเสนอจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในสหรัฐรายอื่น ซึ่งมีมากกว่า 50 แห่ง เพื่อรองรับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลและงาน AI

และถ้า Meta เป็นภูเขาน้ำแข็งทั้งก้อน ตอนนี้มหาสมุทรคงล้นไปด้วยภูเขาน้ำแข็งของบริษัทต่าง ๆ 

เพราะในภาพใหญ่แล้ว Big Tech สาย AI แทบทุกเจ้าต่างก็เดินเกมดีลกับโรงไฟฟ้า เพื่อเอาพลังงานมาหล่อเลี้ยงดาต้าเซ็นเตอร์ของตัวเอง เสริมเขี้ยวเล็บให้ธุรกิจ AI

  • Microsoft ก็ลงนามข้อตกลงซื้อไฟฟ้า 20 ปี จากบริษัทเจ้าเดียวกับ Meta (แต่เป็นโรงงานคนละแห่งกัน)
  • Amazon เองก็มีข้อตกลงคล้าย ๆ กัน และถึงขั้นตั้งโรงไฟฟ้าร่วมกับบริษัท Dominion Energy เองเลย
  • Google ก็เซ็นข้อตกลงซื้อพลังงานกับ Kairos Power ซึ่งเป็นดีลกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ครั้งแรกของ Google ด้วย

ทำไม Big Tech ต้องทำขนาดนี้ ?

สมมติว่า AI เป็นประเทศ ๆ นึง ในปี 2030 ดาต้าเซ็นเตอร์ AI จะใช้พลังงานพอ ๆ กับ ประเทศที่มีประชากรมากสุดในโลก อย่างอินเดีย คือใช้ประมาณ 7% ของไฟฟ้าทั้งโลก เติบโตมหาศาลจากปีนี้ที่ใช้ไปราว 2% อ้างอิงข้อมูลของ Infineon บริษัทชิปจากเยอรมนี

Meta

Infineon และผู้ผลิตชิปรายอื่น ๆ เช่น TSMC, Samsung, และ SK Hynix มองว่าการใช้พลังงานเป็นความท้าทายสำหรับการพัฒนา AI ซึ่งวาณิชธนกิจระดับโลกอย่าง Goldman Sachs มองไว้ว่าความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์จะเพิ่มขึ้นเกินเท่าตัว (165%) ภายในปี 2030

พลังงานคือ ‘เพดาน’ ของการพัฒนา AI

Gartner ออกรายงานว่ากระแส AI และ Gen AI เป็นตัวเร่งให้การใช้พลังงานไฟฟ้าพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าพลังงานที่จะใช้สำหรับศูนย์ข้อมูลที่เทรน AI จะอยู่ที่ 500 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ในปี 2027 จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 261 เทราวัตต์ชั่วโมง

ด้วยตัวเลขการคาดการณ์การใช้พลังงานดังกล่าว ทำให้ Gartner ระบุว่าในอนาคต การเติบโตของ Gen AI และ AI จะเจอเพดานว่าพลังงานมีไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน พร้อมทั้งคาดว่า 40% ของศูนย์ข้อมูลในปัจจุบัน ก็จะเจอกับเพดานลักษณะนี้ด้วย

Gartner บอกต่อด้วยว่า ความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ราคาพลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นตาม และส่งผลไปยังต้นทุนของการพัฒนา AI อีกทอด 

ถ่านหินเองก็อาจคืนชีพ

นอกจากพลังงานเคลียร์ พลังงานเก่าแก่อีกรูปแบบอาจโดนปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้งจากการแข่งขันนี้ นั่นคือ ‘ถ่านหิน’

เคสที่เห็นได้ชัดสุดคือกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐ Donald Trump ลงนามในคำสั่งกระตุ้นอุตสาหกรรมถ่านหินาอีกครั้ง เพราะดาต้าเซ็นเตอร์ AI กำลังจะใช้ไฟเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ่านหินเลยอาจถูกยกระดับให้เป็น “แร่ธาตุสำคัญ” 

Meta

สิ่งที่มาคู่กันคือการลดกฎด้านสิ่งแวดล้อมลง เพื่อให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ยังมีอยู่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ง่ายขึ้น โดยจุดนี้ Trump มองว่า สหรัฐฯ ต้องการไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อแข่งกับจีนที่ใช้ถ่านหินเยอะมากในการพัฒนาเทคโนโลยี AI 

ถึงจะมีคำถามเชิงสิ่งแวดล้อมจนถึงจริยธรรม แต่ Trump ก็ยังเชื่อว่า ถ่านหินน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางออก เพื่อพยุงโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของอเมริกาให้เดินหน้าต่อ และไม่เสียตำแหน่งผู้นำให้ใคร

สุดท้ายแล้ว ‘พลังงาน’ จึงเป็นทั้งจุดตัดสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี (โดยเฉพาะ AI) และยังเป็นจุดถกเถียงที่จะดุเดือดขึ้นในอนาคต

อ้างอิง: Meta, Google, Amazon, Microsoft, Gartner, The Verge, Business Insider, Nikkei Asia

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

บาส รชต สนิท - นักข่าว นักเขียน ที่ Brand Inside | สนใจด้าน Future of Work, สิทธิคนทำงาน, สิ่งแวดล้อม, การเมืองโลก, ปัญหาทุนนิยม และ สิทธิมนุษยชน