สหรัฐฯ เจอภาวะสมองไหลแน่ จบ ป.เอก ยุคทรัมป์ไม่รุ่ง แต่ถ้ามุ่งไปจีน รัฐก็ดัน ตำแหน่งมีให้เลือกเพียบ

เคยได้ยินประโยคที่ว่า “คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” ไหม?

Trump

ดูเหมือนว่าวลีนี้ จะต้องใช้กับสถานการณ์การหางานของเหล่านักวิจัยใน ‘จีน’ และ ‘สหรัฐอเมริกา’ ยุคปัจจุบัน

‘Lipin’ แพลตฟอร์มรับสมัครงานสำหรับนักวิจัยวุฒิปริญญาโทและเอกของจีนพบว่า ตอนนี้ อัตราส่วนจำนวนบัณฑิตปริญญาเอกที่กำลังหางานต่อตำแหน่งที่ว่างในประเทศอยู่ที่ราวๆ 1:5

พูดง่ายๆ คือ จีนมีตำแหน่งว่างให้คนจบด็อกเตอร์เยอะมากๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะลดแรงกดดันในการหางานของด็อกเตอร์ป้ายแดงไม่น้อย

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือ สาเหตุที่ตำแหน่งมันว่าง อาจเป็นเพราะเนื้องานไม่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่หรือเปล่า?

เพราะอะไรจีนถึงมีตำแหน่งว่างให้เหล่าบัณฑิตปริญญาเอกมากมายขนาดนี้ มาดูกัน

ตำแหน่งว่างเยอะ เพราะจีนอยากผลักดันนวัตกรรมในประเทศ

ev

‘นักวิจัยหลังปริญญาเอก’ (Postdocs) เป็นอาชีพสำหรับคนที่เรียนจบปริญญาเอก และกำลังมองหาการทำวิจัยร่วมกับผู้มีประสบการณ์ เพื่อสะสมทักษะก่อนนำไปต่อยอดกับสายอาชีพในอนาคต

‘Fan Xiudi’ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการประเมินการศึกษาประจำมหาวิทยาลัยถงจี้ บอกว่า ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดงานวิจัยของจีนดุเดือดมากกว่าเมื่อก่อน และนักลงทุนก็พากันลงเงินในอุตสาหกรรมนี้เยอะขึ้น

ดังนั้น ตำแหน่งนักวิจัยหลังปริญญาเอกจึงเพิ่มขึ้น เพราะมหาวิทยาลัยต่างๆ อยากพัฒนาจุดแข็งด้านงานวิจัยและนวัตกรรมของตนเอง ส่วนบรรดาศาสตราจารย์ก็อยากหาเด็กมาช่วยงานด้วย

จีนคิดค้นระบบนี้ขึ้นมาตั้งแต่ 38 ปีที่แล้ว และจากตัวเลขปี 2023 พวกเขาสามารถผลิตนักวิจัยหลังปริญญาเอกออกมารวมๆ กว่า 340,000 คน ซึ่งล้วนโตมาเป็นไขสันหลังคอยขับเคลื่อนประเทศชาติไปข้างหน้ากันทั้งสิ้น

ตำแหน่งว่างเพราะอยากผลักดัน หรือไม่มีใครสมัครกันแน่?

China Manufacturing โรงงาน จีน
ภาพจาก Shutterstock

เป็นเรื่องจริงที่การพยายามผลักดันนักวิจัยในประเทศคือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จำนวนการเปิดรับสมัครงานพุ่งขึ้นแบบเหลือๆ

แต่อีกสิ่งเรื่องน่าคิดคือ หรือบัณฑิตเหล่านั้นก็แค่ไม่อยากทำงานวิจัยกับมหาวิทยาลัย?

จริงๆ แล้ว ตำแหน่งนักวิจัยหลังปริญญาเอกเป็นงานที่ทำในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 2-3 ปี ซึ่ง Lipin พบว่า นักวิทย์หรือนักวิจัยรุ่นใหม่ๆ อยากทำงานระยะยาวที่มั่นคง เช่น การเป็นอาจารย์ มากกว่า โดยอุตสาหกรรมนี้มีอัตราส่วนคนสมัครต่อตำแหน่งที่เปิดรับอยู่ที่ 4:1 เลยด้วยซ้ำ

ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว การทำงานร่วมกับรัฐบาลหรืออุตสาหกรรมอื่นๆ น่าสนใจกว่าการเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอก เพราะมีความไม่แน่นอนสูง แถมเงินเดือนน้อย

‘Cai Sanda’ ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยถงจี้ อธิบายว่า ตำแหน่งนักวิจัยหลังปริญญาเอกเป็นแค่อาชีพ ‘ชั่วคราว’ ซึ่งพอหมดสัญญาแล้ว หลายๆ คนก็อาจหางานใหม่ยาก ทำให้คนรุ่นใหม่พากันหางานที่เป็นหลักเป็นแหล่งหลังเรียนจบปริญญาเอกทันทีเลยมากกว่า

ในส่วนของเงินเดือน มีรายงานว่า นักวิจัยหลังปริญญาเอกได้ค่าตอบแทนราวๆ 1 ล้านบาทต่อปี ซึ่งแม้ว่าจะเป็นยอดที่สูงในสายตาหลายๆ คน แต่สำหรับด็อกเตอร์ป้ายแดงที่บากบั่นเรียนกันมานั้น ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าความคาดหวังราวๆ 90,000 บาท

เด็กจีนไม่เห็นค่าไม่เป็นไร หลีกทางให้ชาวเมกันหน่อย 

รับปริญญา
ภาพ pixabay.com

ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่บัณฑิตจีนมองข้าม กลับกลายเป็นโอกาสทองสำหรับชาวปริญญาเอกในสหรัฐอเมริกา

ต้องยอมรับว่า นับตั้งแต่ ‘Donald Trump’ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 สถานการณ์การหางานในสหรัฐฯ นั้นไม่สู้ดีจริงๆ โดยเฉพาะในหมู่ผู้มีการศึกษาทั้งหลาย

บัณฑิตปริญญาเอกชาวอเมริกันคนหนึ่งโพสต์ลงโซเชียลว่า “พวกเรายังมีโอกาสในการเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกในสหรัฐฯ อยู่ไหม?” หลังจากโดนมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียปฏิเสธการตอบรับเข้าทำงานวิจัย เนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงของการระงับการว่าจ้างบุคลากรใหม่

ขณะเดียวกัน ในเดือนมีนาคม 2025 ‘สมาคมหลังปริญญาเอกแห่งชาติสหรัฐฯ’ (US National Postdoctoral Association) พบว่า 43% ของผลสำรวจเชื่อว่าการงานของตนเองกำลังอยู่ในความเสี่ยง

ด้านนักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Harvard อีกคนหนึ่งเสริมว่า เดิมที นักวิจัยรุ่นใหม่หลายๆ คนอยากปักหลักทำงานแค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เมื่อรัฐบาลตัดงบสนับสนุนสถาบันการศึกษาแบบนี้ พวกเขาจึงเริ่มหันไปสมัครงานในจีนบ้างแล้ว

ถ้า Trump ยังไม่หยุดทำอะไรบ้าๆ เจอภาวะสมองไหลแน่

ถ้าอย่างนั้น จะเป็นอย่างไรหากมันสมองแห่งอเมริกาพากันไปทำงานให้ชาติอื่นหมด?

ย้อนกลับไปสมัยที่ ‘Barack Obama’ เป็นประธานาธิบดี เขาย้ำเตือนเสมอว่า สหรัฐฯ ต้องลงทุนในการศึกษาให้มากที่สุด ถึงจะสู้กับการเติบโตของ ‘จีน’ และ ‘อินเดีย’ ได้ 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Trump เลือกทำในทางตรงกันข้าม ด้วยการตัดงบสนับสนุนมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ Harvard หรือ Columbia University ที่เป็นศูนย์รวมหัวกะทิจากทุกมุมโลก

จากข้อมูลในเดือนมีนาคม 2025 รัฐบาลสหรัฐขู่จะตัดงบประมาณมหาวิทยาลัยไปกว่า 60 แห่งแล้ว โดยให้เหตุผลว่าสถาบันเหล่านี้เหยียดคนยิวและสนับสนุนแนวคิดของชาวปาเลสไตน์

นอกจากจะตัดท่อน้ำเลี้ยงด้านการเงิน รัฐบาลสหรัฐยังจับกุมนักศึกษาที่ออกมาประท้วงเรื่องสงครามในฉนวนกาซา รวมถึงเพิกถอนกรีนการ์ดหรือวีซ่าของพวกเขาด้วย

หากคุณสงสัยว่า ทำไมไม่มีใครเตือนการกระทำของ Trump เลย? ต้องมาดูทัศนคติของคนที่ทำงานร่วมกับ Trump อย่างรองประธานาธิบดี ‘JD Vance’ ก่อน

ในสมัยที่ Vance เป็นแค่สมาชิกวุฒิสภา เขาบอกเลยว่า เอาตรงๆ นะ เราควรจัดการมหาวิทยาลัยในประเทศอย่างจริงจังเสียที และพวกศาตราจารย์คือศัตรูของประเทศชาติ

แค่นี้ ก็คงพอเดาทิศทางของรัฐบาลยุค Trump 2.0 ออกแล้วว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การกระทำของรัฐบาลไม่ได้แค่ริดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำร้ายประเทศผ่านการทำลายระบบงานวิจัย ทั้งในเรื่องของการรักษามะเร็ง วัคซีน ปัญญาประดิษฐ์ และนวัตกรรมต่างๆ ที่จะพาสหรัฐฯ ให้ก้าวหน้าแซงคนอื่น

ความบ้าระห่ำของ Trump กำลังตอกย้ำความเชื่อของ Obama ด้วยว่า ถ้าสหรัฐฯ ไม่ลงทุนในการศึกษา จีนและอินเดียคงกลายเป็นศูนย์รวมมันสมองจริงๆ

หาก Trump ยังออกโรงต่อต้าน พยายามปิดปากคนเก่งๆ ในสหรัฐฯ อย่างนี้ คนฉลาดๆ ที่ไหนจะเลือกทำงานรับใช้ประเทศตนเอง ไปทำงานในที่ที่เห็นค่าความสามารถไม่ดีกว่าหรือ?

ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า หากสหรัฐอเมริกาเจอภาวะสมองไหลเข้าจริงๆ ท้ายสุด ยังไงมันก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

คงต้องจับตาดูต่อว่า Trump จะปล่อยให้ประเทศตนเองเป็นอย่างนี้ต่อไปจริงๆ หรือไม่? แล้วเมื่อไรจะ Make America Great Again ได้?

ที่มา: South China Morning Post, NDTV

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา