มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ส่งสัญญาณถึงแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนว่า เรายังคงนำหน้าอยู่ก้าวหนึ่ง แต่ถึงนำก็ยังจับตามองคู่แข่งจากจีนตลอดเวลา อ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของ Tatsuo Nakamura รองประธานบริหารของบริษัท ทั้งตัวแบรนด์ยังแจ้งอย่างชัดเจนว่า จะลงทุนในอาเซียน และไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งเตรียมขึ้นไลน์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ยังคงได้เปรียบกว่าคู่แข่ง
Tatsuo Nakamura รองประธานบริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ว่า ตลาดอาเซียนถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญของมิตซูบิชิ ผ่านการทำตลาดมาอย่างยาวนาน และเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคในพื้นที่นี้มาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้เรื่องดีลเลอร์ และบริการหลังการขาย ยังเป็นสิ่งที่มิตซูบิชิพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน และยากที่แบรนด์หน้าใหม่จะพัฒนาขึ้นมาให้ทันกันได้ เช่น กรณีของอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่มีภูมิประเทศประกอบด้วยเกาะจำนวนมาก การกระจายอะไหล่ และการซ่อมบำรุงจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
จุดนี้เองทำให้มิตซูบิชิยังคงนำหน้าแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอยู่หนึ่งก้าว แต่ถึงจะนำอยู่ บริษัทยังคงเฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ และยกระดับธุรกิจเช่นกัน โดย Brand Inside พบว่า ในประเทศไทย มิตซูบิชิเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายรถยนต์ได้มากเป็นอันดับ 4 เหนือกว่า BYD อันดับ 5 ราว 300 คัน
ไม่ลดราคา ยังเน้นรถยนต์ไฮบริด
ขณะเดียวกัน มิตซูบิชิยังให้ความสำคัญเรื่องมูลค่าการขายต่อของรถยนต์ เพราะการที่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมักใช้กลยุทธ์ลดราคาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สูญเสียความเชื่อมั่น, สร้างความไม่พอใจกับลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้า และที่สำคัญคือ ส่งผลให้ราคาขายต่อของรถยนต์มือสองนั้นตกต่ำ
“เราไม่ลดราคาบ่อยครั้ง และลูกค้ามั่นใจได้เลยว่ารถยนต์ที่ซื้อไปจะปลอดภัย และสามารถเข้ารับบริการได้อย่างสะดวกสบาย” Tatsuo Nakamura กล่าว นอกจากนี้ มิตซูบิชิยังเดินหน้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ BEV ที่แบรนด์รถยนต์จากจีนรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง
รุ่นที่สำคัญของมิตซูบิชิในกลยุทธ์นี้คือ Xpander HEV รถยนต์ไฮบริดแบบ Mini-MPV 7 ที่นั่ง ที่ค่อนข้างเป็นประเภทรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในอาเซียน รวมถึง xForce HEV รถยนต์ไฮบริดแบบ SUV ขนาดเล็ก ที่เตรียมเปิดตัวในอาเซียนเร็ว ๆ นี้ โดยรถถยนต์ทั้งสองรุ่นมีไลน์ผลิตอยู่ในประเทศไทย
ประหยัดน้ำมันแบบไฮบริดตอบโจทย์กว่า
Tatsuo Nakamura เสริมว่า ในยุคนี้ผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องการรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดยังตอบโจทย์นี้ได้ดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนเมื่ออ้างอิงจากโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละประเทศที่ยังไม่มีสถานีชาร์จครอบคลุมอย่างเพียงพอ
สอดคล้องกับนักวิเคราะห์จาก Nakanishi Research Institute ที่ระบุว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนจากจีนอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอาเซียน เนื่องจากปัจจัยด้านความทนทาน และความสามารถในการรับมือกับสภาพแวดล้อม เช่น น้ำท่วมในไทย
ทำให้ปีงบประมาณ 2025 มิตซูบิชิยังเดินหน้าขยายส่วนแบ่งตลาดในทุกประเทศหลักของอาเซียน จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งตลาด 19.3% ในฟิลิปปินส์, 13.3% ในเวียดนาม และ 8.2% ในอินโดนีเซีย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี งบประมาณ 2024 และปีงบประมาณ 2024 ยอดขายจากอาเซียนจะคิดเป็น 30% ของทั้งหมด หรือ 2.49 แสนคัน
ลงทุนอาเซียนต่อเนื่อง ไม่มีหนีไปไหน
เมื่อต้นเดือน ก.พ. 2025 บริษัทได้ประกาศลงทุนกว่า 7,000 ล้านเปโซ หรือราว 4,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับสายการผลิตที่โรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ และล่าสุดยังแจ้งกับ BOI ของประเทศไทยว่า บริษัทจะลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ รวมทั้งจะเริ่มผลิตรถขนส่งขนาดเล็กแบบ BEV ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ ได้รายงานว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ประกาศโครงการสมัครใจ เกษียณอายุก่อนกำหนด มีผู้เข้าร่วมเข้าโครงการกว่า 400 คน จากพนักงานทั้งหมดกว่า 5,200 คน โดยให้เหตุผลเรื่องความท้าทายด้านเศรษฐกิจ และต้องการปฏิรูปองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ส่วนกรณีการควบรวมกิจการระหว่างนิสสัน และฮอนด้าที่สิ้นสุดลง แต่มิตซูบิชิยังคงเดินหน้าทำตลาดในภูมิภาคอาเซียนอย่างอิสระเช่นเดิม โดย Tatsuo Nakamura ย้ำว่า แบรนด์ญี่ปุ่นควรร่วมมือกันเพื่อแข่งขันกับแบรนด์รถยนต์จากจีนในบางกรณี
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา