ต้องบอกว่าโควิดทำให้โลกการทำงานเปลี่ยนแปลงใหม่หมดจด งานที่ไม่คิดว่าจะทำแบบ Work from home หรือทำแบบ Remote Work ได้ ก็สามารถทำได้ เมื่อมนุษย์ถูกโรคระบาดคุกคาม ก็เรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเอง
แต่หลังจากที่โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่นไปแล้ว กระแสเรียกพนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศจึงเริ่มถูกนำกลับใช้ใหม่อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เรารู้จักคำศัพท์ประเภท The Great Resignation, Quiet Quitting มาบ้างแล้ว ตอนนี้มาอีกแล้ว คำศัพท์ใหม่ Coffee Badging
Coffee Badging คืออะไร?
ทำไม จึงกลายเป็นเทรนด์ใหม่?
คำอธิบายจาก Forbes ระบุว่า Coffee Badging เกิดขึ้นหลังจากบริษัทผลักดันนโยบายเรียกพนักงานเข้าทำงานในออฟฟิศ พนักงานก็เข้าออฟฟิศตามนั้น แต่พวกเขาเข้าออฟฟิศเพื่อไปดื่มกาแฟ สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน จากนั้นก็ออกจากออฟฟิศและกลับไปทำงานต่อเงียบๆ ที่บ้าน
เรียกง่ายๆ ว่าการเข้ามาในออฟฟิศก็คือการปรากฏตัวให้ที่ทำงานเห็น แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่ในการผลักดันผลงานจะทำมาจากที่บ้านก็ตาม สำหรับใครที่อยู่ในเทรนด์นี้ ก็จะรู้สึกว่า พวกเขาถูกเอาเปรียบ ถูกบังคับให้ต้องเดินทางไกลจากบ้านเพื่อเสียเวลาเดินทางไปกลับออฟฟิศ
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์, ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาได้อธิบายผ่านสำนักข่าว CNBC ไว้ใกล้เคียงกันกับความหมายที่ Forbes ให้ว่า Coffee Badging คือปรากฏการณ์การประท้วงของเหล่าพนักงานที่ต้องทำตามกฎของบริษัทที่เรียกให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ แต่พวกเขายังต้องการความยืดหยุ่นจากการทำงานอยู่ จึงต้องทำ Coffee Badging
ด้าน Frank Weishaupt ซีอีโอ แห่ง Owl Labs บริษัทซอฟท์แวร์วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ได้ออกรายงานที่เป็นผลสำรวจพนักงานประจำ 2,000 คน ในสหรัฐอเมริกา อายุ 18 ปีขึ้นไป เกี่ยวกับ Hybrid Work ไว้เมื่อปี 2023 พบข้อมูลน่าสนใจ ดังนี้
58% มีพนักงานที่ทำตัวแบบ Coffee Badge คือการเข้าออฟฟิศ ดื่มกาแฟ ทักทายเพื่อนร่วมงาน และกลับบ้าน
34% มีพนักงานอยากที่จะทำงานในออฟฟิศเต็มวัน
8% มีพนักงานที่ไม่ได้ทำตัวแบบ Coffee Badge แต่ก็สนใจที่จะทำอยู่เหมือนกัน
จากนั้นในปี 2024 ทาง Owl Labs ก็ได้ปล่อยผลสำรวจออกมาอีกฉบับ พบว่า พนักงานในสหรัฐอเมริกายอมรับว่าพวกเขาทำ Coffee Badging ลดลงเป็น 44% ขณะที่คนอยากกลับมาทำงานในออฟฟิศแบบเต็มวันอยู่ที่ 45% และมีคนที่ไม่ได้ทำ Coffee Badge แต่ก็อยากลองทำดู 11%
จากรายงานยังเผยอีกว่า มีพนักงาน 70% ถูกเจ้านายจับได้จากพฤติกรรมดังกล่าว แต่ก็มีเจ้านายราว 59% ที่ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ
นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้คนมีพฤติกรรมเป็น Coffee Badging เช่น พนักงานจำนวนมาก ราว 60% บอกว่า พวกเขาทำงานได้ productive มากกว่าถ้าหากพวกเขาได้ทำงานจากบ้าน เพราะการเดินทางจากบ้านมาออฟฟิศมันแพง ต้องใช้ทั้งเงิน ใช้ทั้งเวลา
Frank Weishaupt ซีอีโอจาก Owl Labs ยังพูดถึงข้อมูลที่สำรวจมา เขาพบว่า ผู้คนไม่อยากเสียทั้งเงินและเวลาในการเดินทางเข้าออฟฟิศ พวกเขาสบายใจที่จะนั่งทำงานที่บ้านและใช้วิดีโอคอลเพื่อประชุมงาน พวกเขารู้สึก Productive น้อยลงเมื่อต้องเข้าออฟฟิศ
จากข้อมูลก็ยังพบอีกว่า ด้วยเหตุนี้เอง บริษัทหลายแห่งจึงพยายามทำให้เนื้องานดึงดูดพนักงานมากขึ้น และพยายามสร้างบรรยากาศออฟฟิศให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด และทำให้คนรู้สึก Productive เพื่อทำให้พนักงานอยากมารวมตัวกันมากขึ้น
จากการทำแบบสำรวจ ยังพบอีกว่า พนักงานผู้ชายมักจะมาปรากฎตัวให้ออฟฟิศและเพื่อนร่วมงานเห็นและออกจากออฟฟิศเร็วถึง 62% ถ้าเทียบกับผู้หญิงก็ถือว่ามีอัตราที่สูงกว่า เพราะผุ้หญิงมีสัดส่วนอยู่ที่ 38%
มีการเปรียบเทียบรายประเทศด้วย ตัวอย่าง อังกฤษมีการทำ Coffee Badging อยู่ที่ 39% ส่วนเยอรมนีน้อยกว่าเล็กน้อยอยู่ที่ 38% ขณะที่ฝรั่งเศสน้อยที่สุด อยู่ที่ 22%
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติสหรัฐอเมริกา พบว่า ผลิตภาพ (Productive) เพิ่มขึ้น 61 อุตสาหกรรม นับตั้งแต่ปี 2019-2021 อันเนื่องมาจากการทำงานระยะไกล
รายงานจาก Stanford พบว่า การทำงานระยะไกลเต็มรูปแบบ ทำให้งานนั้นมีผลิตภาพต่ำกว่าการทำงานแบบเจอหน้ากันราว 10%
ข้อมูลจากทั้งสองด้านสวนทางกัน แต่เอาเข้าจริงแล้วนักเศรษฐศาสตร์มองว่า เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง มันขึ้นอยู่กับเนื้องานที่ต้องรับผิดชอบ ทักษะ และงานที่ได้รับมอบหมาย ขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยมองว่า เธอสนับสนุนให้คนเข้าทำงานออฟฟิศ เพราะเธอเชื่อในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เชื่อในการให้คำปรึกษา แต่เธอก็มองว่า สาเหตุที่ Hybrid Work นั้นยังเป็นที่นิยมอยู่ ก็เพราะว่ามันเอามาใช้แล้วได้ผล
สรุปแล้ว การ Coffee Badging ก็คือการหลีกเลี่ยงที่จะทำงานในออฟฟิศทั้งวันแบบเช้าจรดเย็น แต่เข้าออฟฟิศเพื่อไปดื่มกาแฟ พบปะเพื่อนผูง ทำงาน และกลับบ้านเร็ว เพื่อไปทำงานส่วนที่เหลือให้เสร็จต่อที่บ้าน
ส่วนนโยบายที่เรียกให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศ ทางบริษัทอาจจะต้องมีความยืดหยุ่นในคำสั่งตามสายงาน หรือตามเนื้องานที่พนักงานรับผิดชอบ ถ้าสามารถทำงานออนไลน์ได้ แต่จะออกกฎบังคับให้เข้าออฟฟิศทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลมากนัก
ที่มา – Yahoo News, CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา