สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผยภาพรวมค้าปลีกตลอดปี 2567 พบว่า ปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ผลจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ แต่เป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆและไม่สมดุล ทั้งประเภทร้านค้าปลีกและประเภทภูมิภาคเมื่อเทียบกับปี 2566
โดยร้านค้าปลีกประเภทแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์, สเปเชียลตี้สโตร์,และเชนภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เติบโต 3-7%, ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง เติบโต 2-5%
ส่วนร้านค้าสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค โตน้อยสุด 1-3% โดยเป็นการเติบโตแบบกระจุกตัวในกรุงเทพปริมณฑล ภาคตะวันออก และในเมืองตามจังหวัดท่องเที่ยวเท่านั้น
พร้อม ชี้ค้าปลีกปี 2568 จะเป็นเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่มีศักยภาพ ความหวังดันจีดีพีเข้าเป้า
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า “ภาพรวมค้าปลีกปี 2567 ยังไม่สดใสเท่าที่ควรจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการค้าปลีก อาทิ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตามที่ภาครัฐคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกเกินกว่า 37% สต็อกสินค้าเกินความเหมาะสม ส่วนการลงทุนมีความหดตัว ส่งผลต่ออัตราการจ้างงานและการบริโภค
รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัดและยังต้องรอความชัดเจนในเฟสต่อไปที่จะแจกให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มอื่นๆ
ประกอบกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งอนาคตของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ไม่แน่นอนจากนโยบายภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่ายของประชาชน
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมองว่าทิศทางค้าปลีกปี 2568 คาดอาจจะเติบโตราว 3-5 % เมื่อเทียบกับจีดีพีของปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโต 2.3-3.3% ด้วยแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและส่งออก
รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ท่ามกลางความท้าทายจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้น และปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยสมาคมฯ เชื่อว่าภาคค้าปลีกจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญอันดับต้นๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามเป้าหมาย ด้วยมูลค่าค้าปลีกและบริการกว่า 4.4 ล้านล้านบาท หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ทั้งนี้สมาคมฯ ขอเสนอข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเพื่อร่วมกันกระตุ้นค้าปลีกไทยในปี 2568 อาทิ
เดินหน้าลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ปี 2568
- จากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ขยายตัว 3% ส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส โดยขยายตัวสูงถึง 25.9% ดังนั้นสมาคมผู้ค้าปลีกไทยจึงมองว่าการลงทุนของภาครัฐจะเป็นกลจักรสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 ขณะเดียวกันรัฐควรเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปี 2568 ให้ทันท่วงที และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ภายหลังการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า
- ส่งเสริมให้เกิดการกระจายเม็ดเงินโดยภาครัฐ ทั้งการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้าง และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้รุดหน้า
เสริมแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
- เอสเอ็มอีในประเทศไทยมีมากถึง 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนเอสเอ็มอี โดยเฉพาะไมโครเอสเอ็มอีที่มีอยู่กว่า 2 ล้านราย ให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
- เปิดพื้นที่ให้ไมโครเอสเอ็มอี นำสินค้ามาจำหน่ายภายในห้างร้านของสมาชิกฯ เช่น แม็คโคร,โลตัส, เซ็นทรัล, โก โฮลเซลล์, ไทวัสดุ ตลอดปี 2568 เป็นต้น
- ออกมาตรการในการป้องกันการทะลักของสินค้าจีนราคาถูกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเอสเอ็มอีไทยในทุกแพลต์ฟอร์ม
เพิ่มการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจในประเทศ
- ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ ทั่วถึง และตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ช้อปดีมีคืน, Easy E-Receipt
ขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
- ส่งเสริมการลงทุนในภาคเอกชนทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการขยายตัวของภาคผลิต ด้วยนโยบายจูงใจต่างๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งปัจจุบันภาครัฐกำลังเร่งเครื่องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ยกระดับไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว
- กระตุ้นการท่องเที่ยวโดยโฟกัสกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง เช่น พิจารณาลดภาษีสินค้าเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ตอกย้ำเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตทุกระดับ พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มสูบเพื่ออนาคตของเศรษฐกิจไทยที่จะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา