ถือเป็นแนวโน้มที่มาไวกว่าที่หลายคนคาดคิดเอาไว้เหมือนกัน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะครองสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของตลาดรถยนต์ใหม่ในอีก 20 กว่าปีหลังจากนี้ ส่วนคนยุโรป เมื่อเวลานั้นมาถึง การซื้อรถยนต์จะเหลือเพียงทางเลือกเดียวคือ “รถยนต์ไฟฟ้า”
รถยนต์ไฟฟ้ามาไวกว่าที่คิด จะพิชิตครึ่งหนึ่งของตลาดในไม่ช้า
หลังจากได้เห็นปรากฏการณ์ Tesla กันมาสักพัก จนกระทั่งส่ง Tesla Model 3 ที่ราคาเริ่มต้นเพียง 1.2 ล้านบาท น่าจะทำให้เห็นแนวโน้มแล้วว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะลงมาเล่นกับตลาดรถยนต์แมสทั่วไปอย่างดุเดือดแน่ๆ แต่ใครจะรู้ว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” จะมาไวกว่าที่คิด
รายงานจาก Bloomberg New Energy Finance ระบุว่า ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงจะราคาเทียบเทียบกับรถยนต์ธรรมดาในปี 2025 หรือ 8 ปีหลังจากนี้ Brand Inside เคยรายงานเรื่องนี้ไว้ใน อนาคต EV สดใส ฟันธงปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้า จะถูกกว่า รถยนต์ใช้น้ำมัน ด้วยราคาที่ถูกลงนี้จะทำให้ในรถยนต์ใหม่ที่ถูกผลิตออกมาในปี 2040 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดถึง 54% อธิบายง่ายๆ คือ ครึ่งหนึ่งของตลาดรถยนต์ทั้งหมดจะเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า” นั่นเอง
ปัจจัยสำคัญของราคารถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาถูกลงมาจาก “ราคาของแบตเตอรี่ไฟฟ้า” ที่ถูกลงมาก นับตั้งแต่ปี 2010 ราคาแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน (lithium-ion) ลดลงไปกว่า 73% ต่อกิโลวัตต์/ชม. และแน่นอนว่า ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาทุกวัน จะทำให้ในปี 2030 แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถรองรับพลังงานได้สูงขึ้น และราคาจะลดลงไปอีก 70% จากราคาในปัจจุบัน (ที่ต้องถือว่าถูกลงไปมากอยู่แล้ว)
ในขณะที่ธนาคารดัตช์ คาดการณ์ว่า ในปี 2035 จะเหลือแค่รถยนต์ไฟฟ้าให้คนยุโรปซื้อเท่านั้น ถึงขนาดที่ว่านักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก ING ทำรายงานออกมาบอกเลยว่า “การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าได้คุกคามอุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปอย่างมาก”
ส่วนสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ เมื่ออุตสากรรมรถยนต์ในยุโรปต้องเปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์แบบเดิมๆ ไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า นั่นหมายความว่า รูปแบบอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยน เพราะรถยนต์ไฟฟ้าผลิตง่ายกว่ามาก ใช้คนน้อยกว่ามาก ดังนั้น สิ่งที่ต้องติดตามคือการเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบธุรกิจในอุตสาหกรรมยุโรปที่ต้องหันไปเน้นในภาคการบริการมากกว่าภาคการขายอย่างที่เคยทำมา
สรุป
ราคาที่ถูกลงของรถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้ในปี 2040 รถยนต์ที่ผลิตและส่งออกไปสู่ตลาดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าถึงครึ่งหนึ่งของสัดส่วนทั้งหมด และในตอนนั้นคนยุโรปจะเหลือเพียงรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกซื้อเท่านั้น แต่ก็มีข้อกังวลสำหรับประเทศกำลังพัฒนาเหมือนกัน นั่นคือ “จุดเติมเชื้อเพลิงไฟฟ้า” เพราะหากโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เอื้ออำนวย ก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าตัวแบตเตอรี่ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตนั้น จะอึดและใช้งานได้นานแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร ประเทศที่มองเห็นประเด็นนี้ ควรรีบรับมือกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้แล้ว
ที่มา – Fast Company, Thenextweb
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา