ทำไมเมื่อจีนแบนการนำเข้าปลาจากญี่ปุ่น อาจกลายเป็นโอกาสของไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ญี่ปุ่นประกาศ ปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกส่งผลให้ จีนและฮ่องกง ต่างประกาศระงับการนำเข้าปลาจากญี่ปุ่นเพราะกลัวการปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสี แต่เรื่องนี้จะกลายเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยได้อย่างไร?

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า กรมศุลกากรจีนระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางทะเล (รวมถึงสัตว์ทะเลสด) จากญี่ปุ่น ตั้งแต่ 24 ส.ค. 66 เพราะกังวลต่อความเสี่ยงที่อาหารทะเลอาจปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี หลังจากที่ญี่ปุ่นได้ทำการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ซึ่งผ่านการบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก 

ขณะเดียวกันรัฐบาลฮ่องกงที่มีคำสั่งห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากหลายจังหวัดของญี่ปุ่น เช่น ฟูกูชิมะ, โตเกียว, ชิบะ, โทชิกิ, อิบารากิ, กุนมะ, มิยางิ, นีงาตะ, นากาโนะ, และไซตามะ โดยสินค้าที่ถูกห้ามนำเข้า เช่น อาหารทะเลสด แช่เย็น แช่แข็ง แห้ง หรือผ่านกรรมวิธีถนอมอาหารอื่น ๆ รวมถึงเกลือทะเลและสาหร่าย เป็นต้น 

ทั้งนี้ แม้ทางการญี่ปุ่นยืนยันว่า น้ำที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเลมีความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองจากองค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดองค์การสหประชาชาติ  แต่เมื่อจีนและฮ่องกงออกมาตรการดังกล่าว จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอาหารทะเลของญี่ปุ่นค่อนข้างมาก เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าประมง (HS 03) เป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วน 26.9% (ณ 7 เดือนแรกของปี 2566) 

ในขณะที่จีนนำเข้าสินค้าประมงจากญี่ปุ่นในสัดส่วนเพียง 2.7% เท่านั้น ซึ่งการกระจายตัวของแหล่งนำเข้าที่สูงทำให้จีนมีแหล่งนำเข้าทางเลือกที่หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนไปแหล่งนำเข้าอื่น ๆ เมื่อมีความเสี่ยงเกิดขึ้น อาทิ เอลกวาดอร์, รัสเซีย, แคนาดา, อินเดีย, สหรัฐฯ, นอร์เวย์, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, เปรู, ชิลี, นิวซีแลนด์, และไทย ฯลฯ ดังนั้นประเมินว่าการใช้มาตรการดังกล่าวจึงไม่กระทบต่อจีน

ทั้งนี้ อาหารทะเลที่จีนนิยมนำเข้าจากญี่ปุ่น ได้แก่ หอยเชลล์, ทูน่า, เม่นทะเล, ปลากะพง, และปลิงทะเล เป็นต้น ในขณะที่ปลาแปรรูป (HS 1604) แหล่งนำเข้าของจีนค่อนข้างกระจุกตัวที่เกาหลีใต้ (สัดส่วน 39.7%) และไทย (สัดส่วน 34.1%) โดยญี่ปุ่นเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 3 มีสัดส่วน 11.1% เท่านั้น   

โอกาสของผู้ประกอบการไทย

สนค. มองว่า จากสถานการณ์ที่จีนประกาศระงับการนำเข้าปลาจากญี่ปุ่นเพราะกลัวการปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสี ส่งผลให้ไทยมีโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหารทะเลและได้รับส่วนแบ่งในตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น เพื่อชดเชยส่วนแบ่งทางการตลาดที่หายไปจากการส่งออกของญี่ปุ่น 

ทั้งนี้ คาดว่าสินค้าประมงที่อาจจะได้รับอานิสงค์ส่งออกไปจีนได้เพิ่มขึ้น เช่น

  • ปลาหมึกและหอยสด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป
  • เนื้อปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง ปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง
  • กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็ง
  • ปลาปรุงแต่งและแปรรูป

ทั้งหมดนี้เป็นหมวดสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนในสัดส่วนที่มากอยู่แล้วและการควบคุมคุณภาพการผลิตที่ดีของไทยจะทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตไปยังตลาดจีนได้ 

ที่ผ่านมาไทยส่งออกอาหารทะเลไปจีนมากแค่ไหน?

ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกปี 2566 ไทยส่งออกสินค้าประมง ไปยังจีนแล้วกว่า 221.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 45.5%) ในขณะที่การส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปไปยังจีน อยู่ที่ 31.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 48.7%)

สินค้าประมงระหว่างไทยและญี่ปุ่น และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

 อย่างไรก็ตาม หากมองผลกระทบต่อไทยในแง่ของการนำเข้า จะพบว่า ไทยนำเข้าสินค้าประมงจากญี่ปุ่นในสัดส่วนไม่มาก โดย 7 เดือนแรกของปี 2566 ไทยนำเข้าสัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูปจากญี่ปุ่น มูลค่า 94.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปริมาณ 63,951 ตัน ถือว่าญี่ปุ่นเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 ของไทย มีสัดส่วน 5.3% รองจาก อินเดีย ไต้หวัน และจีน 

ปัจจุบันไม่มีมาตรการห้ามการนำเข้าสินค้าประมงจากญี่ปุ่น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากพบการปนเปื้อนภาครัฐจะใช้มาตรการส่งคืนหรือทำลาย และประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนทราบทันที 

ทั้งนี้ เมื่อลงลึกไปในรายสินค้า ไทยนำเข้าสินค้าประมงจากญี่ปุ่น เช่น  

  • กลุ่มปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาค็อด ปลาแมคเคอเรล นำเข้ามูลค่า 21.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (-24.8%) เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 รองจาก ชิลี นอร์เวย์ และจีน
  • กลุ่มปลาทูน่า นำเข้ามูลค่า 22.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (+29.5%) เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 10
  • กลุ่มสัตว์น้ำอื่น ๆ และผลิตภัณฑ์ (อาทิ เนื้อปลาซาร์ดีนแช่เย็นจนแข็ง เนื้อปลาแมคเคอเรลแช่เย็นจนแข็ง ปลาแซลมอนแปซิฟิกอื่น ๆ แช่เย็นจนแข็ง เนื้อปลาทูน่าครีบยาวแช่เย็นจนแข็ง ปลาหมึกกระดองแช่เย็นจนแข็ง ฯลฯ) นำเข้ามูลค่า 46.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (-32.0%) เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 3 รองจากอินเดีย และเวียดนาม

“การส่งออกสินค้าประมงของไทยดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสุขอนามัย ทำให้มั่นใจได้ว่ามีคุณภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ จึงเป็นโอกาสที่ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าสัตว์น้ำจะเข้าสู่ตลาดจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้าประมงเป็นอันดับ 2 ของโลกได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความกังวลต่อ

การนำเข้าปลาจากญี่ปุ่นจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้เพาะเลี้ยงปลาแซลมอนและปลาเทราต์ภายในประเทศได้เช่นกัน”

ที่มา – กระทรวงพาณิชย์

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา