อากาศประเทศไทย ใครก็บอกว่ามี 3 ฤดูคือ ร้อน ร้อนมาก และร้อนที่สุด แต่ไม่น่าเชื่อว่า จำนวนครัวเรือนในไทย มีการติดตั้งแอร์ประมาณ 30% เท่านั้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการมีเครื่องใช้อื่นที่พอจะทดแทนได้ นั่นคือ พัดลม เรียกว่าน่าจะ 99% ของครัวเรือนไทยมีพัดลม และอาจจะมีมากกว่า 1 ตัวด้วย รวมถึงราคาของแอร์ที่อาจจะไม่ได้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายและทันที
แต่นั่นทำให้ตลาดแอร์ของไทย ยังมีโอกาสและการเติบโตได้อีกมาก ในเมื่ออุณหภูมิร้อนขนาดนี้ และทำท่าจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่น น่าจะเป็นโอกาสของตลาดแอร์
สำหรับซัมซุง แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีครบทุกจุดในบ้าน มีการพัฒนาแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ระดับ Top5 ได้ทำการสำรวจตลาดพบว่า ภาพรวมตลาดแอร์เริ่มหดตัวในช่วงปี 2019 คือช่วงโควิดนั่นเองและลดลงต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงปี 2023 ที่เห็นแนวโน้มว่าตลาดแอร์เริ่มกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ทั้งการพยากรณ์ที่คาดว่าอากาศปีนี้จะร้อนมากขึ้น และฝุ่นในอากาศที่หนักขึ้นกว่าเดิม
ถ้าดูในแง่ตัวเลข ปี 2023 คาดว่าตลาดจะเติบโตขึ้น 13% อยู่ที่ 23,000 ล้านบาท เรียกว่าขึ้นมาในระดับใกล้เคียงกับปี 2019 ที่อยู่ในระดับสูงสุดที่ 25,000 ล้านบาท มียอดขายทั้งปีประมาณ 1 ล้านตัว
อภิรดี พหลเวชช์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจเครื่องปรับอากาศ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด บอกว่า จากการสำรวจความความเห็นผู้บริโภค พบว่า มีการติดแอร์มากที่สุดในห้องนอนและห้องนั่งเล่น ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อแอร์ คือ เน้นประสิทธิภาพการทำงาน, ประหยัดไฟฟ้า, มีความทนทาน, ราคาที่เหมาะสม รวมถึงบริการหลังการขายที่ดี ทั้งหมดถือว่าตรงกับสิ่งที่ซัมซุงเน้นใน 4 แกนหลัก คือ
- health & hygiene กรองฝุ่น ตรวจฝุ่นด้วย
- cool & energy saving เย็น และ ประหยัด
- durability ทนทาน ใช้นาน
- service & installer บริการและติดตั้งที่ดีโดยช่างผู้ชำนาญ
และสิ่งที่ซัมซุงมีความโดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ คือ การมีเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ดูแลสุขภาพ และประหยัดพลังงานมากขึ้น คือ Samsung WindFree และ AI Energy Mode ที่ช่วยประหยัดไฟฟ้า 20% ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับ SmartThings Energy จะทำให้ผู้บริโภคเห็นได้ทันทีผ่านแอปว่า ใช้ไฟฟ้าไปเท่าไร อีกทั้งยังสามารถช่วยป้องกันปัญหามลพิษกรองฝุ่นละอองระดับ PM 1.0 ที่อันตรายกว่า PM 2.5 ได้อย่างละเอียดถี่ยิบ ยับยั้งแบคทีเรียได้ 99.99% ให้ความเย็นที่สะอาดปลอดภัย หายใจได้เต็มปอด พร้อมมอบระยะเวลารับประกันสูงสุด 10 ปี
ฤดูร้อน “เครื่องปรับอากาศ” เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟที่สุดในหน้าร้อนเพราะใช้งานยาวนานแทบทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 3.60 บาทต่อหน่วยในปี 2564 เป็น 4.16 บาทต่อหน่วยในปี 2565 ล่าสุด ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 อยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย และ 5.33 บาทต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม การเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดไฟ เป็นทางออกหนึ่งที่สามารถทำได้
ซัมซุง ตั้งเป้ายอดขายกลุ่มเครื่องปรับอากาศโต 30% ปัจจัยมาจากการรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้าไปร่วมกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น โครงการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่ซัมซุงมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงไลน์อัพผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในปีนี้ที่ตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไปและกลุ่มลูกค้าองค์กร มีเป้าหมายขึ้นเป็น Top3 อย่างน้อยภายใน 2 ปีนับจากนี้ จากปัจจุบันอยู่ระดับ Top5 ของตลาด
ตลาดแอร์ ถือว่ามีขนาดใหญ่มากสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โดยเป็นอันดับ 2 รองจากทีวี เรียกว่าใหญ่กว่า ตู้เย็น และ เครื่องซักผ้า ทั้งที่ถ้าดูแยกย่อยแล้วยังมีแอร์ไม่ครบทุกครัวเรือน นี่คือโอกาสในการทำตลาด แต่ก็เป็นความท้าทายไม่น้อย เพราะการที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนแอร์ครั้งหนึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปี ถ้าไม่เสีย ไม่เปลี่ยน แต่ก็มีข้อดีคือ 1 บ้านอาจจะมีแอร์มากกว่า 1 เครื่อง รวมถึงตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ที่จะเป็นลูกค้าสำคัญ ต้องมารอดูว่า ซัมซุง จะสามารถทำตลาดสร้างการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางการแข่งขันจากแบรนด์จีนที่เข้ามาแข่งเรื่องราคาด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา