บมจ. เจ มาร์ท ตั้งเป้ากำไรสุทธิทั้งกลุ่มเติบโต 50% 3 ปีติด สานฝันเป้าหมายมูลค่ารวมทุกกิจการแตะ 5 แสนล้านบาท เตรียมงบ 20,000-30,000 ล้านบาท ลงทุนธุรกิจน่าสนใจ ย้ำกรณี สุกี้ตี๋น้อย แค่เข้าไปช่วย ไม่ใช่ซื้อกิจการ
เจ มาร์ท สานฝันเป้ามูลค่ากิจการ 5 แสนล้าน
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ มาร์ท เล่าให้ฟังว่า นับตั้งแต่ปี 2565 บริษัทตั้งเป้าเติบโตของกำไรสุทธิทั้งกลุ่มที่ 50% ทุกปี โดยปี 2021 มีกำไรสุทธิที่ 2,468 ล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้าในปี 2567 ทั้งกลุ่มบริษัทที่ปัจจุบันมีอยู่ 20 บริษัทย่อยจะมีมูลค่ากิจการรวมกัน 5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามบริษัทประกาศลงทุนการตลาดอีก 80 ล้านบาทเพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ของบริษัทที่ไม่ใช่แค่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ แต่คือกลุ่มบริษัทการเงิน และเทคโนโลยีที่มีกิจการหลาย เพื่อยกระดับการจดจำ และดึงดูดคนทำงานที่มีความสามารถเข้ามาช่วยให้กิจการเติบโตได้ดีขึ้น
“ตอนนี้ เจ มาร์ท ไม่ใช่ร้านขายโทรศัพท์มือถือแล้ว แต่ในมุมผู้บริโภคยังมองเห็นเราแค่นั้น แม้เราจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างก้าวกระโดดมาการมีธุรกิจอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มก็ตาม ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้องค์กรจึงจำเป็น โดยในแคมเปญการตลาดนี้จะมีทั้งสื่อโฆษณา และกิจกรรมการตลาดต่าง ๆ”
มุ่งสู่ Investment Company เต็มรูปแบบ
ขณะเดียวกัน เจ มาร์ท เตรียมงบประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในกิจการที่น่าสนใจในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ โดนงบดังกล่าวมาจากการออกหุ้นกู้ และการนำกิจการของบริษัทในเครือแยกออกไปเพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บมจ. เอสจี แคปปิตอล บริษัทสินเชื่อในเครือซิงเกอร์ เป็นต้น
สำหรับกิจการที่ เจ มาร์ท สนใจจะต้อง แมส หรือได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไป และกิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยี รวมถึงบริการทางการเงิน เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยี และการเงิน จึงต้องการต่อยอดความเชี่ยวชาญนี้ และสามารถนำความเชี่ยวชาญไปทำให้กิจการแมสต่าง ๆ ให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
“เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องลงทุน หรือควบรวมกี่กิจการ แต่ผมว่าปี 2566 งบประมาณกว่า 6,000 ล้านบาทน่าจะถูกใช้ลงทุนจนหมด ส่วนเรื่องมุลค่าการลงทุน เราวางกรอบไว้คร่าว ๆ คือ ใช้งบต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท, ราว 1,000 ล้านบาท และมากกว่า 1,000 ล้านบาท”
เจรจาอยู่ 3-4 ราย หนึ่งในนั้นคือธุรกิจอาหาร
อดิศักดิ์ เสริมว่า ปัจจุบัน เจ มาร์ท อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทที่สนใจเข้าไปลงทุน 3-4 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือธุรกิจอาหาร ซึ่งการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่จะช่วยเพิ่มความหลากหลายในเรื่องรายได้ของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนใน Avantis Protocal บริษัทด้านการเงินดิจิทัล และ PRTR บริษัทด้านทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
“เราจะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับจำนวนคนเยอะ ๆ เพราะธุรกิจเหล่านั้นจะมีฐานข้อมูลจำนวนมาก ยิ่งยุคนี้ข้อมูลคือทอง การเอาข้อมูลของบริษัทที่น่าสนใจมาผสานกับความเก่งเรื่องการเงิน และเทคโนโลยีของเราก็น่าจะดี และสร้างการเติบโตได้ไม่น้อย”
ในกรณีของร้าน สุกี้ตี๋น้อย ทางบริษัทยืนยันว่า ไม่ได้เข้าไปซื้อกิจการ เพียงแต่เข้าไปลงทุนช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยรายละเอียดจะเปิดเผยในภายหลัง ซึ่งร้านดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ลงทุน และควบรวมกิจการของบริษัท
สรุป
เจ มาร์ท จากธุรกิจห้องแถวห้องเดียว สู่อนาคตมูลค่ากิจการ 5 แสนล้านบาทในระยะเวลาราว 30 ปี ถือเป็นอีกกรณีธุรกิจที่น่าสนใจว่าทำไมถึงได้เติบโตได้ขนาดนี้ และต้องติดตามว่าอนาคตของ เจ มาร์ท ที่ตอนนี้มีลูกชายเข้ามาช่วยเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกหรือไม่
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา