สภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2564 โดยรวมพบว่าตลาดแรงงานได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด ส่งผลให้ผู้ว่างงานและอัตราการว่างงานสูงที่สุดนับตั้งแต่มีโควิด-19 หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อโดยรวมทรงตัว
ว่างงานสูงที่สุดนับตั้งแต่โควิดระบาด มีแนวโน้มว่างงานนานขึ้น
ผู้มีงานทำมีจำนวน 37.7 ล้านคน ลดลง 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การจ้างงานภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้ มีการจ้างงาน 12.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.0% เนื่องจากเริ่มฤดูการเพาะปลูกข้าว การจ้างงานภาคนอกเกษตรกรรมลดลง 1.3% สาขาที่มีการจ้างงานลดลงมากคือ สาขาก่อสร้าง สาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ลดลง 7.3% และ 9.3% ตามลำดับ
ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการควบคุมการเปิดปิดสถานประกอบการ การปิดแคมป์คนงาน และสาขาขนส่ง/เก็บสินค้าขยายตัว 2.1%, 0.2% และ 4.6% ตามลำดับ สาขาการผลิตที่มีการจ้างงานขยายตัวได้ดีคือ การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม การผลิตรถยนต์ การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์
ชั่วโมงการทำงาน โดยเฉลี่ยภาคเอกชนอยู่ที่ 43.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีผู้ว่างงานชั่วคราวสูงเกือบ 9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วยเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนเพียง 4.7 แสนคน
การว่างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด มีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ 2.25% และยังพบว่า ผู้มีการศึกษาระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อยละ 3.63% รองลงมาคือ ปวส. 3.16% ซึ่งผู้ว่างงานส่วนใหญ่จบในสาขาทั่วไป (บริหารธุรกิจ การตลาด) มีแนวโน้มประสบปัญหาว่างงานยาวนานขึ้น เนื่องภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างจำกัดและคนกลุ่มนี้มีทักษะไม่ต่างกันจึงหางานได้ยากขึ้น
แรงงานที่มีอายุ 15-19 ปี มีอัตราการว่างงานสูงสุด 9.4% รองลงมาเป็นอายุ 20-24 ปีที่ 8.35% โควิดส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้ผู้ประกอบการที่เคยชะลอการเลิกจ้างบางส่วนไม่สามารถรับภาระต่อได้และจำเป็นต้องเลิกจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ขณะที่เด็กจบใหม่ไม่มีตำแหน่งรองรับ เนื่องจากผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบและรอดูสถานการณ์ จึงชะลอการขยายตำแหน่งงาน
การว่างงานของแรงงานในระบบมีสัดส่วนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต่อผู้ประกันตนอยู่ที่ 2.47% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าและปีก่อน หลังรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้ประกันตนช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยสถานประกอบการที่มีการหยุดกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัยแทนการเลิกจ้าง มีจำนวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย 2.1 แสนคนเดือนกันยายน 2564 เพิ่มขึ้นจาก 0.9 แสนคน ณ สิ้นไตรมาสก่อน
นอกจากประเด็นแรงงานแล้วยังมีเรื่องการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยว การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผลกระทบของอุทกภัยต่อต่อแรงงานภาคเกษตร ที่ผ่านมามีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ 33 จังหวัด รวม 225 อำเภอ อาจต้องมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงิน เพื่อนำไปใช้ซ่อมแซมบ้านเรือนและเป็นทุนในการทำการเกษตรด้วย
ภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำราคาสินค้าหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้นและกระทบค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ว่างงานชั่วคราวที่ไม่ได้รับค่าจ้าง มีจำนวนสูงถึง 7.8 แสนคน ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีปัญหาในการดำรงชีพ ปัญหาสูญเสียทักษะจากการว่างงานนานและแรงงานที่ประกอบอาชีพอิสระที่ลงทะเบียนตนมาตรา 40 เกือบ 7 ล้านคน
หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นรวม 8.5 หมื่นล้านบาท
ไตรมาสสองปี 2564 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% จาก 4.7% ในไตรมาสก่อน คิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อ GDP ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา 90.6% สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดระบาด คุณภาพสินเชื่อต้องเฝ้าระวังหนี้บัตรเครดิตที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น
แม้สัดส่วน NPLs ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.92% ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อบัตรเครดิตต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันจาก 3.04% ในไตรมาสก่อนเป็น 3.51% รวมถึงลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสียจากบัตรเครดิตจำนวน 1ใน 3 เป็นผู้มีอายุน้อยกว่า 35 ปี
หนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่สามารถขยายได้ในระดับปกติ แม้ว่าทั้งปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว แต่ขยายตัวจากฐานต่ำ รายได้ครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน และผลกระทบของอุทกภัยทำให้ครัวเรือนต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อมาซ่อมแซมบ้านเรือนและเครื่องใช้ที่ได้รับความเสียหายเพิ่ม โดยเฉพาะก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภค
สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ หนี้เสียโดยเฉพาะบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หนี้สินครัวเรือนในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูง ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้เข้าปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ และมีแนวโน้มก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในรอบครึ่งปี 2564 พบว่า มูลค่าหนี้นอกระบบรวม 8.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเพียง 5.6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าจากปี 2562
ความเจ็บป่วยโดยรวมลดลง แต่ต้องเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาการหลังติดเชื้อโควิด-19 หรือ Long Covid ของผู้เคยติดโควิด-19
อาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น
คดีอาญาโดยรวมเพิ่มขึ้น ต้องเฝ้าระวังโดยเฉพาะคดีลักทรัพย์ที่กระทำผิดมากที่สุดของคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ คดีจับกุมการเสพยาเสพติดมากที่สุดของคดียาเสพติดทั้งหมด ต้องมีมาตรการป้องกันเข้มงวดมากขึ้น ไตรมาสสามปี 2564 คดีอาญาโดยรวมเพิ่มขึ้น 10.3% จากไตรมาสเดียวกันของปี 2563 โดยคดีเสพติดเพิ่มขึ้น 10.5% คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์เพิ่มขึ้น 17.3% ส่วนคดีชีวิต ร่างกายและเพศรับแจ้ง 3,085 คดีลดลง 14.7%
ช่วงควบคุมการระบาดของโควิด พบกระทำผิดลักทรัพย์มากที่สุด คิดเป็น 45.4% ของคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ทั้งหมดและในส่วนของคดียาเสพติด มีการจับกุมในคดียาเสพติดมากที่สุด 52.3% ของคดียาเสพติดทั้งหมด
การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างรุนแรงเนื่องจากมาตรการควบคุมโรคระบาดอย่างเข้มงวด คาดว่าจะส่งผลต่อความยากจนและความรุนแรงทำให้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้โควิดคลี่คลายลง แต่ยังมีผลกระทบต่อเนื่อง คนว่างงานเพิ่มและว่างงานยาวนานขึ้น ส่งผลต่อรายได้ การพัฒนาทักษะและความสามารถในการหางานในอนาคต นักเรียนนักศึกษาไม่สามารถเรียนรู้ได้เต็มที่ ทำให้ความรู้ขาดหาย วิกฤตโควิดทำให้ครัวเรือนต้องนำเงินออมออกมาใช้จ่ายเพื่อรักษาระดับบริโภค มีการก่อหนี้เพิ่ม และโควิดกระทบคนในวงกว้าง ต้องใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยา
แนวทางต่อไปคือ เน้นช่วยเหลือเยียวยาเน้นจ้างงาน พัฒนาทักษะและฝึกอบรมให้เชื่อมโยงกับความต้องการตลาด พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้มีความพร้อมสามารถเข้าถึงได้ และปรับโครงสร้างหนี้ ส่งเสริมเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ
ที่มา – สภาพัฒน์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา