โตตามกระแส OTT ปรับตัวในตลาดไทย
OTT หรือ Over The Top โดยเฉพาะกลุ่มบริการ Streaming ภาพยนตร์ และซีรีส์ต่าง ๆ ถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างมากจากสถานการณ์ของ COVID-19 ซึ่ง WeTV คือหนึ่งในผู้เล่นของตลาดนี้ ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน
หากเจาะไปที่ตัวเลขระดับโกลบอลจะพบว่า WeTV มียอด Monthly Active User (MAU) มากกว่า 45 ล้านรายมีการใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 90 นาที/วัน และมียอดชมวิดีโอมากกว่า 25 ล้านวิวต่อวัน ซึ่งตลาดหลักที่ให้บริการประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม และยังเติบโตได้ดีใน บราซิล และตะวันออกกลาง
สำหรับในประเทศไทย ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2021 ยอด Daily Active User (DAU) ยังเพิ่มขึ้นถึง 63% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2020 ที่สำคัญ WeTV ยังเป็นผู้ให้บริการอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ให้บริการแบบมีโฆษณา (AVOD) และเป็นอันดับ 2 ของผู้ให้บริการแบบไม่มีโฆษณา (SVOD) อีกด้วย
ความสำเร็จดังกล่าว มาจากการที่ WeTV ปรับสัดส่วนของคอนเทนต์เอเชีย และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเนื้อหา ทั้งจีน ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ ซีรีส์ ละคร ภาพยนตร์ อนิเมะ และรายการวาไรตี้ต่างๆ จนปัจจุบัน WeTV ไม่ได้โดดเด่นแค่คอนเทนต์จีน แต่มีการสร้างความสมดุลของคอนเทนต์จีน คอนเทนต์ไทย และอื่น ๆ ให้เหมาะสม ในสัดส่วน 50:50 รวมกว่า 800 เรื่อง คิดเป็นเวลารวมกันกว่า 1 ล้านนาที
ด้วยเหตุนี้ทำให้ยอด MAU ในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 13 ล้านราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงผู้ชายในสัดส่วน 70:30 ครอบคลุมกลุ่ม Gen Y และ Gen Z อายุระหว่าง 18-34 ปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด ในขณะที่กลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไปก็เป็นกลุ่มที่กำลังเติบโต นอกจากนี้ 25% ของจำนวนผู้ใช้งานแต่ละวันเป็นผู้ใช้กลุ่มเสียเงินสมัครสมาชิก โดยหลังจากนี้ WeTV จะวางตัวเป็น Everyday Asian Premium Content Selection หรือ ศูนย์รวมความบันเทิงแห่งเอเชียที่มีคอนเทนต์ใหม่ๆ ให้ผู้ใช้งานได้เลือกรับชมกันทุกวัน
กลยุทธ์ 3X เพื่อเติบโต 3 เท่า เริ่มต้นด้วย Expansion
แค่ความสำเร็จข้างต้นคงหยุดการเติบโตของ WeTV หลังจากนี้ไว้ไม่ได้ เพราะ กนกพร ปรัชญาเศรษฐ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และการขาย และผู้จัดการ WeTV ประจำประเทศไทย บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกมาประกาศชัดเจนว่า WeTV จะเติบโตขึ้น 3 เท่าภายในปี 2023
สำหรับกลยุทธ์ที่จะทำให้ WeTV เติบโต 3 เท่าภายในปี 2023 มีชื่อว่า 3X เริ่มต้นด้วย Expansion หรือการขยายความหลากหลายในทุกมิติ ตั้งแต่เนื้อหา, ช่องทางการรับชม รวมถึงการพาร์ทเนอร์กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำตลาดของ WeTV ได้มากกว่าเดิม
หากเริ่มต้นที่ฝั่งเนื้อหาจะพบว่า WeTV จะเพิ่มซีรีส์ญี่ปุ่นเข้ามาให้มากขึ้น จากเดิมที่แข็งแกร่งในฝั่งซีรีส์จีน เกาหลี และไทย ส่วนประเภทของรายการจะเริ่มนำเสนอเนื้อหากลุ่ม อีสปอร์ต เข้ามา จากเดิมที่มีเนื้อหาทั้งประเภทการ์ตูน ซีรีส์วาย และรายการวาไรตี้ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ WeTV ตอบโจทย์กลุ่มผู้ชมได้หลากหลายยิ่งขึ้น
ส่วนช่องทางการรับชม WeTV จะร่วมมือกับ ช่อง 8 ในการทำ Cross Platform เพื่อนำเนื้อหารายการต่าง ๆ ของ WeTV ไปแพร่ภาพบนทีวีดิจิทัลช่องดังกล่าวทุกวัน ช่วยเพิ่มการรับรู้ให้กับ WeTV ได้อัตโนมัติ และสามารถสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่เพื่อมาใช้บริการของ WeTV ได้ในอนาคต
ด้านการเพิ่มพาร์ทเนอร์ในการทำตลาด WeTV จะร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Telco) รวมถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพื่อนำ WeTV ไปให้บริการบนกล่อง OTT และกลุ่มบริการชำระเงิน เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับชม และใช้จ่ายบริการต่าง ๆ ของ WeTV ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมทำตลาดร่วมกับธุรกิจอื่น ๆ เช่น อีคอมเมิร์ซ บริการขนส่งพัสดุ และ CRM Campaign เป็นต้น เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ WeTV ยังมีพันธมิตรที่สังกัดภายใต้เครือ เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ด้วยกันก็คือ Sanook, JOOX, PUBG MOBILE และ WeComics ที่จะมาช่วยเพิ่มช่องทางในการรับรู้กับผู้ใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ของ WeTV ได้มากขึ้น
Extra Experience ที่ยกระดับการรับชมไปอีกขั้น
X ตัวที่ 2 คือ Extra Experience ที่มากับการยกระดับการรับชม WeTV ให้ดีขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ Flying Comment ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก จนทำให้มีจำนวนคอมเมนต์กว่า 1.5 ล้านคอมเมนต์ต่อเดือน การเปิดตัวระบบย่อจอ In-screen การทำระบบโหวต การจำหน่าย Digital Gift Card นอกจากนี้ยังมีระบบเช่าดูตอนพิเศษ ที่ทำเพื่อตอบโจทย์ซีรีส์บางเรื่องที่อาจมีเนื้อหาเพิ่มเติมหลักจากจบบริบูรณ์แล้ว
นอกจากนี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การรับชม WeTV ยังเพิ่มเนื้อหารายการแบบถ่ายทอดสด ทั้งการถ่ายทอดสดรายการวาไรตี้ต่าง ๆ และการทำสดซ้อนสด ที่มีพิธีกร และทีมงานรับชม รวมถึงบรรยายเนื้อหารายการสดไปพร้อมกับผู้ชม ให้อรรถรสในการรับชมได้อีกรูปแบบ
การถ่ายทอดสดยังครอบคลุมถึงการแข่งขันอีสปอร์ต และการแข่งขันกีฬาอื่น ๆ ซึ่ง WeTV เริ่มต้นมาระยะหนึ่งแล้ว เช่นการถ่ายทอดสดการแข่งขันเกม ROV และ PUBG รวมถึงการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี
ที่สำคัญ WeTV ยังคงเดินหน้าสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง โดยสร้างประสบการณ์ร่วมแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้ผู้ชมผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เชื่อมโลกออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เช่น กิจกรรมแฟนมีตติ้ง ทั้งหมดนี้เพื่อมอบประสบการณ์ร่วมให้ผู้ใช้งานอยู่กับ WeTV ได้นานยิ่งขึ้น
Exclusivity ที่ทำให้ WeTV แตกต่างยิ่งขึ้น
X ตัวที่ 3 คือ Exclusivity ที่ผ่าน WeTV โดดเด่นทั้งในแง่ของ First Run แบบที่แรกและที่เดียว กับ Rerun แบบรับชมย้อนหลังก่อนใคร ซึ่ง WeTV จะยังคงเดินหน้านำเสนอเนื้อหาคุณภาพ เรื่องใหม่ๆ อีกมากมาย รวมถึงเน้นการทำ WeTV ORIGINAL ร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตรายการในประเทศไทยอีกถึง 13 เรื่องด้วยกัน ทำให้เห็นถึงความพร้อมที่จะขยายฐานผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะเป็นแพลทฟอร์มแถวหน้าอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้
โมเดลสร้างรายได้หลากหลาย พร้อมเติบโตไปกับคู่ค้า
นอกจากนี้ WeTV ยังเตรียมโมเดลธุรกิจต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์แบรนด์ และเอเจนซี่ โดยเฉพาะการทำ Media Placement รูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้ง Pre-roll, Mid-roll รวมถึง Display Ads โดยทั้งหมดนี้ถูกวิเคราะห์ข้อมูล และคำนวนเป้าหมายอย่างแม่นยำ
ส่วนการสร้างแบรนด์ WeTV ทางแบรนด์ หรือเอเจนซี่ รวมถึงการโฆษณาอีกหลายรูปแบบ ทั้ง การเลือกให้ดารานักแสดงชั้นนำพูดถึงสินค้าก่อนเริ่มเนื้อหารายการ และการขึ้นเป็นกรอบสินค้าพิเศษในช่วงอธิบายตอนที่แล้ว รวมถึงการ tie-in สินค้าเข้าไปในเนื้อหารายการด้วยการตัดต่อแบบพิเศษ ที่เรียกว่า Post-Production In-App Product Placement ซึ่งสามารถทำได้แม้ซีรีส์นั้นจะฉายไปแล้วก็ตาม
จากกลยุทธ์การตลาด ‘3X: Expansion – Extra Experience – Exclusivity’ ที่ WeTV วางไว้ เชื่อได้ว่านี่จะเป็นอาวุธสำคัญที่จะนำพาให้ธุรกิจของ WeTV บรรลุเป้าหมายเติบโตในไทย 3 เท่า พร้อมขึ้นเป็นผู้นำแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี 2023 ได้อย่างไม่ยาก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา