ถอดรหัสความยั่งยืนของ IKEA พวกเขาทำอย่างไร ถึงสามารถแปลงโฉม Delivery ให้เป็น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ 100% ในวันที่ทุกคนยังส่ายหน้าเพราะต้นทุนยังสูงอยู่
ทุกวันนี้ โลกไม่ได้สนใจแค่บริการขนส่งที่รวดเร็วทันใจเท่านั้น แต่กระแสไม่ว่าจากฝั่งผู้บริโภค นักลงทุน และชุมชนต่างๆ ยังเรียกร้องให้แต่ละบริษัทมอบบริการที่ไม่ผลักภาระแก่สิ่งแวดล้อม และไม่สร้างอันตรายต่อสุขภาพของคนชุมชนและสังคมวงกว้าง
IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังสัญชาติสวีเดน คือหนึ่งในบริษัทที่จริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อมมากๆ เราจึงได้เห็นแคมเปญด้านสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายของ IKEA อยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็น การขายไฟฟ้าพลังงานสะอาด การรับซื้อคืนสินค้ามือสอง ไปจนถึง การซื้อผืนป่าเพื่ออนุรักษ์
ล่าสุด IKEA เตรียมเปลี่ยนรถส่งสินค้าทุกคันเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า” ตั้งเป้าทำให้สำเร็จภายในปี 2025 โดยในปัจจุบัน IKEA สามารถเปลี่ยนรถส่งสินค้าในเมืองนิวยอร์กเป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้แล้ว 100% นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สวยงาม ส่วนก้าวต่อไป IKEA จะไปเอาจริงเอาจังเรื่องนี้ในลอสแองเจลิส
วันนี้ Brand Inside จะพาทุกท่านไปหาคำตอบว่า IKEA เปลี่ยนรถยนต์ขนส่งสินค้าทุกคันให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ รถบรรทุกที่ใช้ระบบไฟฟ้าล้วนยังมีตัวเลือกไม่มากและยังมีราคาสูง ที่สำคัญโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า ก็ยังไม่ครอบคลุมเมื่อเทียบกับรถยนต์แบบดั้งเดิม ทำให้ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าหลายๆ เจ้ายังไม่ยินดีที่จะเปลี่ยนไปใช้เพราะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
EV ยังแพงคือเรื่องจริง IKEA จึงต้องสนับสนุนผู้ให้บริการขนส่งด้วยตัวเอง
ปัญหาของเรื่องนี้ คือ ผู้ให้บริการขนส่งไม่ต้องการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพราะมีต้นทุนสูงกว่าเดิม
ต้องบอกก่อนว่า ปกติแล้วในเรื่องของบริการจัดส่งสินค้า บริษัทค้าปลีกส่วนใหญ่จะจ้างผู้ให้บริการจากภายนอกเข้ามาดูแล ไม่ได้ลงทุนซื้อรถด้วยตัวเอง จึงเป็นไปได้ยากที่จะโน้มน้าวให้ผู้ให้บริการขนส่งหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพราะกังวลเรื่องต้นทุนที่อาจจะเพิ่มขึ้น ทั้งต้นทุนจากทางตรง (ราคารถ) และทางอ้อม (สถานีชาร์จ การบำรุงรักษา) ที่สูงกว่า
คำตอบของเรื่องนี้ คือ การไม่สร้างภาระทางการเงินเพิ่มเติมให้กับผู้ให้บริการ
ดังนั้น IKEA จึงต้องทำ Partnership Model กับ Fluid Truck บริษัทบริการเช่ายืมรถบรรทุกไฟฟ้าที่สามารถเลือกเช่า 24 ชั่วโมง ผู้ให้บริการขนส่งของ IKEA จึงสามารถหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ไม่สูง และยังมีความยืดหยุ่นในการเช่าเพื่อใช้งาน เพราะจะใช้รถตอนไหนก็เช่าตอนนั้นได้เลยแถมไม่มีต้นทุนจม
นอกจากนี้ IKEA ยังลงทุนสร้างสถานีชาร์จด้วยตัวเองเพื่อสร้างความสะดวกในการใช้รถบรรทุกไฟฟ้ามากขึ้น
Steven Moelk ผู้จัดการฝ่ายดำเนินงานโครงการของ IKEA สหรัฐระบุว่า “การมอบช่องทางในการเข้าถึงรถบรรทุกไฟฟ้าให้กับผู้ให้บริการโดยไม่สร้างภาระทางการเงินให้กับพวกเขา จะทำให้แบรนด์มีความสามารถในการเดินหน้าในเรื่องความยั่งยืนแม้ในยามที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของหรือควบคุมการขนส่งที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่การผลิตของเรา”
จะแก้ปัญหา รัฐต้องจัดการในระดับโครงสร้าง
โมเดลการจัดการของ IKEA สะท้อนให้เห็นว่า การสนับสนุนด้านราคา หรือการให้ผู้ให้บริการมีช่องทางเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกลง และ การสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่นสถานีชาร์จแบตเตอรี ช่วยเร่งให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดได้เร็วขึ้น
นี่คือบทเรียนว่าหากเราต้องการไปสู่สังคมที่ยั่งยืน ภาครัฐสามารถเร่งกระบวนการการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้นได้ผ่านนโยบายสนับสนุนต่างๆ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การให้ความสนับสนุนทางการเงินเพื่อลดต้นทุน เหมือนที่ IKEA ให้การสนับสนุนจนสามารถเร่งกระบวนการนี้ภายในห่วงโซ่การผลิตของตัวเองได้
ยิ่งความสนับสนุนมากเท่าไหร่ ผู้บริโภคก็ยิ่งมีต้นทุนในการเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกลง และยิ่งมีการบริโภคเพิ่มขึ้น วนกลับมาเป็นเม็ดเงินสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบให้เติบโตและมีราคาถูกลงต่อไปอีก
ที่มา – IKEA, Fluid Truck, GreenBiz, EDF
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา