บทวิเคราะห์จาก CNBC ระบุว่า มี 6 ประเทศในโลกที่มีอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในจำนวนที่สูงมากแล้ว แต่ก็ยังติดโควิด-19 ในจำนวนมากเช่นกัน โดย 5 ใน 6 ประเทศนี้พึ่งพาวัคซีนที่ผลิตจากจีน
CNBC ระบุว่า มี 36 ประเทศที่ติดเชื้อโควิดใหม่เพิ่มรายสัปดาห์มากกว่า 1,000 รายต่อล้านคน โดย CNBC ใช้ข้อมูลจาก Our World in Data ประกอบกับข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ข้อมูลจากภาครัฐ โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Oxford พบว่ามี 36 ประเทศที่มีประชากรกว่า 60% ที่รับวัคซีนต้านโควิด-19 แล้วอย่างน้อย 1 โดส
ในบรรดา 36 ประเทศนี้มีราว 6 ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนต้านโควิดในจำนวนที่มากแต่ก็ยังติดเชื้อโควิดเพิ่มในจำนวนที่มากเช่นกัน และ 5 ใน 6 ประเทศนี้พึ่งพาวัคซีนจากจีนอย่างมีนัยสำคัญ 6 ประเทศที่ว่ามานี้คือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เซเชลส์, ชิลี, อุรุกวัย และมองโกเลีย ส่วนอีก 1 ประเทศที่ไม่ได้พึ่งพาวัคซีนจากจีนก็คือสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษนั่นเอง
ทั้ง 6 ประเทศนี้มีการฉีดโควิด-19 ในอัตราที่สูงมาก ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 สองโดสในอัตรา 65% ฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสในอัตรา 9.9%, เซเชลส์มีอัตราการฉีดวัคซีนสองโดสราว 69% หนึ่งโดส 3.4%, ชิลีฉีดวัคซีนสองโดสราว 58% หนึ่งโดสราว 10%
อุรุกวัยมีการฉีดวัคซีนสองโดส 55% หนึ่งโดส 13%, อังกฤษมีการฉีดวัคซีนสองโดสราว 51% หนึ่งโดส 17% และมองโกเลียฉีดวัคซีนสองโดส 55% และหนึ่งโดสราว 9.6% ขณะที่การติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นใหม่ก็มีจำนวนสูงเช่นกัน ดังกราฟด้านล่างนี้
จำนวนคนติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศเซเชลส์อยู่ที่ 169,605.45 อุรุกวัยอยู่ที่ 108,039 คน ชิลีอยู่ที่ 82,630.98 คน อังกฤษ 74,242.99 คน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อยู่ที่ 65,280.78 คนและมองโกเลีย 40,975.30 คน
CNBC ระบุว่า มองโกเลียรายงานไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมว่ารับวัคซีนจากจีน Sinopharm ราว 2.3 ล้านโดส วัคซีนจากรัสเซีย Sputnik V ราว 80,000 โดส และวัคซีนจาก Pfizer-BioNTech ราว 255,000 โดสที่เพิ่งได้รับเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อมูลจาก Covid 19 Track Vaccines ระบุว่า มองโกเลียอนุมัติวัคซีนให้ใช้ในประเทศ 6 แบรนด์คือ Moderna (สหรัฐฯ), Pfizer/BioNTech (สหรัฐ-เยอรมัน), Gamaleya (Sputnik Light) (รัสเซีย), Gamaleya (Sputnik V) (รัสเซีย), Oxford/AstraZeneca (อังกฤษ-สวีเดน) และ Sinopharm (จีน)
ชิลีได้รับวัคซีน Sinovac จากจีน 16.8 ล้านโดสและ Pfizer-BioNTech ราว 3.9 ล้านโดสเมื่อเดือนที่ผ่านมา ข้อมูลจาก Covid 19 Track Vaccines ระบุว่า ชิลีอนุมัติวัคซีน 5 แบรนด์ให้ใช้ในประเทศดังนี้ Pfizer/BioNTech, CanSino (จีน), Janssen (Johnson & Johnson) (อังกฤษ), Oxford/AstraZeneca และ Sinovac (จีน) นอกจากนี้ ชิลียังมีการทดลองทางคลินิกในประเทศด้วย คือวัคซีน CanSino, Janssen (Johnson & Johnson), Oxford/AstraZeneca, ReiThera (อิตาลี) และ Sinovac
ด้านสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเซเชลส์พึ่งพาวัคซีนจากจีน Sinopharm ในจำนวนมาก ข้อมูลจาก Covid 19 Track Vaccines ระบุว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อนุมัติวัคซีนให้ใช้ในประเทศคือ Moderna, Pfizer/BioNTech, Sputnik V, Oxford/AstraZeneca และ Shinopharm (Beijing) และยังมีการทดลองทางคลินิกในประเทศด้วยวัคซีน 3 แบรนด์นี้ Gamaleya (Sputnik V), Sinopharm (Beijing), Sinopharm (Wuhan) ขณะที่เซเชลส์ อนุมัติวัคซีนให้ใช้ในประเทศ ดังนี้ Moderna, Gamaleya (Sputnik V), Serum Institute of India (Covishield), Sinopharm (Beijing)
ขณะที่อุรุกวัย อนุมัติวัคซีน 2 แบรนด์คือ Pfizer/BioNTech และ Sinovac มีการฉีดวัคซีนจาก Sinovac มากกว่า Pfizer-BioNTech ส่วนอังกฤษ มีการอนุมัติให้ใช้วัคซีนในประเทศ 4 แบรนด์คือ Moderna, Pfizer/BioNTech, Janssen (Johnson & Johnson), Oxford/AstraZeneca มีการทดลองทางคลินิก 8 แบรนด์ด้วยกัน ดังนี้ Novavax (สหรัฐอเมริกา), Curevac (เยอรมนี), Moderna, Pfizer/BioNTech, Janssen (Johnson & Johnson), Oxford/AstraZeneca, Valneva (ฝรั่งเศส), Codagenix Inc (สหรัฐอเมริกา)
(หมายเหตุ* การอนุมัติวัคซีนให้ใช้ภายในประเทศ ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นๆ จะจัดหาวัคซีนชนิดนั้นๆ ได้หรืออาจจะมีบ้างแต่มีปริมาณเล็กน้อย)
ไวรัสเดลตาตัวที่แพร่พันธุ์เร็วที่สุดในอังกฤษ แพร่หนักในหมู่คนหนุ่มสาว-คนสูงวัยที่ไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน
สำหรับอังกฤษ มีการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นสูงมาก จากเดิมที่อังกฤษพบไวรัสอัลฟา (alpha) เป็นแห่งแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จากนั้นก็พบไวรัสสายพันธุ์เดลตา (delta ที่มาจากอินเดีย) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในจีนเมื่อปลายปี 2019
สายพันธุ์เดลตานี้ทาง WHO เคยคาดการณ์ว่าจะเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายกว่า 80% ทั่วโลกและจะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลัก จากเดิมที่อังกฤษมีสายพันธุ์อัลฟาเป็นหลัก หลังจากพบสายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายในประเทศ ไวรัสสายพันธุ์เดลตาก็กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่เชื้อโควดิ-19 ในปัจจุบัน หลังจากกลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นมาก็ถือว่าเดลตาเป็นสายพันธุ์ที่ครอบคลุมจำนวนผู้ติดเชื้อราว 90% การติดเชื้อสายพันธุ์เดลตานี้แพร่กระจายอย่างหนักในหมู่คนหนุ่มสาวและคนสูงวัยที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน
ด้านผู้ผลิตวัคซีน Sinopharm และ Sinovac ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี มีหลายปัจจัยด้วยกันที่สามารถเป็นสาเหตุทำให้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก วัคซีนไม่ได้ป้องกันโควิด-19 ได้ 100% ดังนั้นใครก็ตามที่รับวัคซีนแล้วจึงสามารถติดเชื้อโควิดได้อีก ขณะเดียวกัน วัคซีนสายพันธุ์ใหม่ๆ ก็สามารถพัฒนาสายพันธุ์เพื่อป้องกันวัคซีนที่มีอยู่ได้
ทั้งนี้ Ben Cowling นักระบาดวิทยาจาก University of Hong Kong’s School of Public Health ระบุว่า หลายประเทศไม่ควรหยุดใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 จากจีน โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้น้อย รายได้ปานกลางและประเทศที่มีศักยภาพในการจัดหาวัคซีนได้จำกัด ซึ่งหลายประเทศที่อนุมัติวัคซีนจาก Sinopharm และ Sinovac ไปใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศร่ำรวยเพื่อให้ได้วัคซีนที่พัฒนาจากสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปได้
ประเทศที่ตัดสินใจใช้วัคซีนจากจีนเหล่านี้ก็จำเป็นต้องยอมรับด้วยว่ารอบวงโคจรของคนป่วยหนักและคนเสียชีวิตจากโควิด-19 ก็จะสั้นลงอย่างไม่ต้องสงสัย เธอบอกว่า บางประเทศก็ปฏิเสธชัดเจนเลยว่าไม่รับวัคซีนที่ผลิตจากจีน เช่น คอสตาริกาที่ปฏิเสธวัคซีนจีนที่พัฒนาโดย Sinovac เมื่อเดือนที่ผ่านมาหลังจากได้ข้อสรุปว่า วัคซีนนั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
วัคซีนไม่สามารถป้องกันไวรัส/ ติดเชื้อโควิด 100% แต่เทคโนโลยี mRNA สร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า
แม้ WHO หรือองค์การอนามัยโลกจะอนุมัติให้ใช้วัคซีน Sinopharm และ Sinovac เพื่อการฉุกเฉินแล้ว แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนจีน 2 แบรนด์นี้ก็ยังต่ำกว่าวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA อย่าง Pfizer-BioNTech และ Moderna ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 90%
วัคซีน Sinopharm นั้นมีประสิทธิภาพต้านการติดเชื้อโควิดอยู่ที่ 79% แต่เรื่องประสิทธิภาพที่มีต่อคนวัย 60 ปีขึ้นไปนั้นยังคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ส่วนวัคซีน Sinovac นั้นมีประสิทธิภาพราว 50% จนถึงกว่า 80% ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประเทศที่ทำการทดลองอีก
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ข้อค้นพบจากการทดลองทางคลินิกคือ ไม่สามารถเปรียบได้โดยตรงเพราะการทดลองแต่ละครั้งก็มีความแตกต่างกัน แต่ผลการศึกษาจากฮ่องกงพบว่า ระดับภูมิต้านทานของผู้ที่รับวัคซีน BioNTech สูงขึ้นมากกว่าผู้ที่รับวัคซีนจาก Sinovac ผู้เชี่ยวชาญบางรายก็มองว่าความแตกต่างด้านเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนต้านโควิดน่าจะเป็นคำอธิบายได้ดีถึงประสิทธิภาพในการต้านไวรัสแต่ละสายพันธุ์
Michael Head นักวิจัยอาวุโสด้านสุขภาพโลกจากมหาวิทยาลัย Southampton ในอังกฤษระบุว่า ทั้ง Sinovac และ Sinopharm ต่างเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) ฉีดเข้าไปในร่างกายคนเพื่อให้กระตุ้นภูมิคุ้มกันและผลิตสารแอนติบอดีขึ้น เป็นเทคโนโลยีที่ใช้มานานหลายสิบปีแล้ว ขณะที่ Pfizer-BioNTech และ Moderna เป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ผลิตจากสารพันธุกรรมของไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 เมื่อฉีดเข้าร่างกายคน สารพันธุกรรมนี้จะทำให้ร่างกายคนสร้างโปรตีน กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส
วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้ว ง่ายต่อการผลิต เป็นที่รู้จักกันดีว่าปลอดภัย แต่มีแนวโน้มที่จะสร้างภูมิคุ้มกันได้น้อยถ้าเทียบกับวัคซีนประเภทอื่น ขณะที่ Cowling นักระบาดวิทยาระบุว่า การทดลองระยะสามของวัคซีนเชื้อตายพบว่า มันช่วยทำให้ไม่มีอาการหนักมากหรือเสียชีวิตจากโควิดได้ ซึ่งวัคซีนจีนก็มีแนวโน้มว่าคนติดเชื้อที่มีอาการอ่อนๆ นี้จะเพิ่มขึ้น แต่ก็จะมีคนที่ป่วยอาการหนักในจำนวนที่น้อยโดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว
เมื่อพบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพต่ำ ก็ยิ่งต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชนมากขึ้นเพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งภูมิคุ้มกันหมู่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อไวรัสไม่ได้แพร่พันธุ์รวดเร็ว คนต้องมีภูมิคุ้มกันจากการรับวัคซีนหรือฟื้นตัวจากการติดเชื้อโควิดก่อน หลายประเทศพยายามสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงที่มีการระบาดของโควิดระยะแรกเริ่ม แต่ก็ยังไม่พบว่ามีประเทศใดประสบความสำเร็จ
เรื่องนี้มีงานศึกษาจาก University of New South Wales’s Kirby Institute ในซิดนีย์ระบุว่า รัฐนิวเซาท์เวลส์จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ถ้าประชากรราว 66% ได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้านโควิดได้มากถึง 90% โดยสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนจะต้องเพิ่มขึ้นถึง 86% ถ้าหากว่าวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพถึง 70% และภูมิคุ้มกันหมู่จะไม่เกิดขึ้นได้หากได้รับวัคซีนต่ำกว่า 60%
สรุป
บทสรุปจากงานวิเคราะห์โดย CNBC สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศส่วนใหญ่ที่พึ่งพาวัคซีนจากจีนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Sinopharm หรือ Sinovac ล้วนมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น แม้จะมีการพยายามยืนยันว่า อย่างน้อยการฉีดวัคซีนจากจีนสองแบรนด์นี้ก็ไม่ทำให้เกิดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโควิดได้
ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาก็ยืนยันอีกเสียงว่าอาจไม่จำเป็นต้องปฏิเสธวัคซีนสองแบรนด์นี้ถ้าเป็นประเทศที่มีรายได้น้อย รายได้ปานกลาง มีศักยภาพในการจัดหาวัคซีนต่ำ แต่ต้องยอมรับว่าอาจพบคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นและคนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นได้ ประเทศอื่นที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนประสิทธิภาพต่ำไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในการป้องกันโควิด-19 ก็หาทางปฏิเสธได้ และงานวิจัยรวมถึงงานศึกษาหลายชิ้นก็พิสูจน์แล้วว่า ประเทศที่ใช้วัคซีนประสิทธิภาพสูงย่อมทำให้ประชาชนที่รับวัคซีนมีภูมิต้านทานสูงกว่าประเทศที่รับวัคซีนประสิทธิภาพต่ำ เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนได้ไม่มากพอและรับวัคซีนได้ไม่รวดเร็วพอๆ กับไวรัสที่พัฒนาสายพันธุ์ตลอดเวลา ภูมิต้านทานก็ไม่เกิด วงโคจรของการติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นในระยะสั้น คนป่วยมากขึ้น เสียชีวิตมากขึ้นตามไปด้วย
- คนที่แพ้หรือเสียชีวิตต้องดูแลตัวเอง: สิงคโปร์ไม่รับ Sinovac เป็นวัคซีนต้านโควิด-19
- โควิดปลิดชีวิตแพทย์อินโด 26 คน เกือบครึ่งฉีดวัคซีน Sinovac ครบ 2 โดสแล้ว
- แพทย์อินโดฯ กว่า 350 คนติดโควิด-19 แม้ว่าจะฉีดวัคซีน Sinovac ป้องกันแล้ว
- ชาตินิยมอย่างเดียวเอาไม่อยู่ จีนกังวลประสิทธิภาพ เตรียมนำเข้าวัคซีนประเทศอื่นเพิ่ม
ที่มา – CNBC (1), (2), Our World in Data, Covid 19 Vaccine Tracker
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา