อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ยื่นฟ้องบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Twitter Google และ Facebook บอกว่าเขาคือเหยื่อของการเซ็นเซอร์ โดยมุ่งไปที่ CEO ของทั้งสามบริษัท
New York Times รวบรวมข้อมูลโพสต์ในโซเชียลมีเดียของทรัมป์ พบว่า ก่อนบัญชีจะถูกแบนมียอดถูกใจและแชร์เฉลี่ยประมาณ 272,000 ครั้ง แต่หลังจากการแบนยอดการกดถูกใจและแชร์ลดลงมาเหลือ 36,000 ครั้ง
ทรัมป์ถูกแบนเพราะใช้โซเชียลในการปลุกปั่น
ทรัมป์ถูกระงับการเข้าถึงบัญชีโซเชียลของตัวเองเมื่อเดือนมกราคม ด้วยความกังวลด้านความปลอดภัยจากเหตุการณ์จราจลหน้ารัฐสภาสหรัฐที่นำโดยผู้สนับสนุนของเขา ซึ่งการจราจลดังกล่าวมีที่มาจากการปลุกระดมในบัญชีโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
หลังจากการจราจลที่รัฐสภา 2 วัน ทาง Twitter ได้แบนทรัมป์เนื่องจากมีการโพสต์ข้อความสนับสนุนความรุนแรง ส่วน Facebook บอกว่าทรัมป์จะไม่สามารถกลับมาใช้แพลตฟอร์มนี้ได้อย่าน้อยก็จนกว่าจะถึงเดือนมกราคม 2023 โดยอ้างถึงความเสี่ยงต่อความปลอดภัยสาธารณะ
ทรัมป์โต้ว่าเขาถูกกล่าวหา
ในการฟ้องร้องนี้ได้เรียกร้องให้ศาลออกคำสั่งยุติการเซ็นเซอร์และเสริมว่าถ้าพวกเขาสามารถแบนประธานาธิบดีได้ก็สามารถทำแบบนี้กับทุกคนได้เช่นกัน นอกจากนี้ในการแถลงข่าวเขายังได้กล่าวต่อว่าบริษัทสื่อสังคมออนไลน์และพรรคเดโมแครตว่าเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ
แต่ปัจจุบันยังไม่มีบริษัทใดในรายชื่อที่ถูกอ้างอิงออกมาตอบเกี่ยวกับการฟ้องร้องครั้งนี้
สรุป
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อโซเชียลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออดีตประธานาธิบดี และการสื่อสารกับชาวอเมริกันโดยตรงผ่านช่องทางนี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของทรัมป์ที่ทำให้เขาสามารถเข้าถึงชาวอเมริกันและเรียกคะแนนได้โดยไม่ต้องใช้สื่อหลักอย่างรายการโทรทัศน์หรือวิทยุ
ที่มา: BBC, The New York Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา