การร้องไห้ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นๆ ขี้แพ้ เพราะผลวิจัยเผย การร้องไห้ มีประโยชน์กับร่างกายมากกว่าที่คิด ช่วยปรับอารมณ์ เหมือนระบายสิ่งที่เป็นพิษออกจากร่างกาย
ที่ผ่านมาการร้องไห้ ถูกตีความยึดโยงไปกับคำว่าความอ่อนแออยู่เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต เรามักถูกสอนกันมาว่า อย่าร้องไห้ หรือแม้แต่เป็นเด็กผู้ชายอย่าร้องไห้ขี้แย พอโตขึ้นหากร้องไห้ก็จะโดนตัดสินว่ามีนิสัยเหมือนเด็ก แต่ความจริงแล้ว “การร้องไห้” มีประโยชน์มากกว่าที่คิด ใครๆ ก็ร้องไห้ได้ ไม่เว้นแม้แต่ CEO หรือคนทำธุรกิจ
คนทำธุรกิจ เจ้าของกิจการ ชีวิตนี้มีแต่เรื่องเครียด
ที่บอกว่าแม้แต่คนทำธุรกิจก็สามารถร้องไห้ได้ เป็นเพราะ ในชีวิตของคนทำธุรกิจจำเป็นจะต้องเจอกับเรื่องเครียดหลายอย่าง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องการทำงาน ต้องคิดไอเดียใหม่ๆ ต้องหาวิธีทำการตลาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการเก็บรวบรวมสถิติการทำธุรกิจ Start Up พบว่า คนทำธุรกิจ Start Up ด้านเทคโนโลยีกว่า 70% ล้มเหลวในการทำธุรกิจ
นอกจากนี้คนทำธุรกิจ ยังต้องเจอกับความเครียด และความกัดดันจากการทำงาน จนทำให้เสี่ยงต่อภาวะต่างๆ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการกว่า 30% ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า, 29% เผชิญกับโรคสมาธิสั้น, 27% เผชิญกับความเครียด ในขณะที่ CEO 14% ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า
คำถามที่เกิดขึ้นคือ เราจะสามารถจัดการกับปัญหาที่ทั้งผู้ประกอบการ คนทำธุรกิจ หรือแม้แต่ CEO ต้องเจอได้อย่างไร ในเมื่อปัญหาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากการทำงานทั้งสิ้น และการร้องไห้ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้หรือไม่
คำตอบคือ การร้องไห้ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และบางครั้ง การร้องไห้ อาจเป็นประโยชน์กับร่างกายมากกว่าที่คิด คนที่ร้องไห้ ไม่ใช่คนที่อ่อนแอแต่อย่างใด
Harvard Health Publishing ได้เผยแพร่บทความว่าด้วยเรื่องประโยชน์ของการร้องไห้ โดยสรุปสั้นๆ ว่า ในบางกรณีการร้องไห้ส่งผลดีกับร่างกาย และใครๆ ก็ร้องไห้ได้
จากการเก็บข้อมูลของ Harvard พบว่า คนอเมริกันเพศหญิงร้องไห้เฉลี่ย 3.5 ครั้งต่อเดือน ส่วนเพศชายร้องไห้เฉลี่ย 1.9 ครั้งต่อเดือน
มษุษย์ค้นพบประโยชน์ของการร้องไห้ตั้งแต่ในยุคสมัยกรีกโรมัน ที่นักปราชญ์เชื่อว่า น้ำตาทำหน้าที่เหมือนกับยาระบาย ขับถ่ายของเสีย และทำให้ร่างกายบริสุทธิ์ ส่วนในยุคสมัยปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็มีความคิดคล้ายๆ กับนักปราชญ์ในยุคโบราณ ว่าการร้องไห้เป็นกลไกที่ช่วยให้เราสามารถผ่อนคลายความเครียด และอารมณ์โกรธได้
การร้องไห้ทำหน้าที่เหมือน Safty Valve ที่คอยกักเก็บความรู้สึกแย่ๆ อยู่ภายใน แน่นอนว่าหากเราไม่ยอมร้องไห้ และกลั้นนำ้ตาไว้ ก็จะไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ
ที่ผ่านมาเคยมีผลการศึกษาว่าด้วยการกลั้นน้ำตา กักเก็บอารมณ์ไว้ มีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี รวมถึงส่งผลต่อสุขภาพจิตอื่นๆ ทั้งความเครียด และซึมเศร้า
ในขณะที่การร้องไห้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนการระบายความรู้สึกไม่ดีที่อยู่ในจิตใจออกไป แล้วยังช่วยเพิ่มความผูกพัน ความเห็นอกเห็นใจ และการสนับสนุนระหว่างครอบครัว และเพื่อนได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามไม้ได้หมายความว่า การร้องไห้ จะมีผลดีต่อร่างกายในทุกกรณี เพราะในความจริงแล้ว น้ำตาที่ไหลออกมาขณะร้องไห้มีอยู่หลายประเภท ดังนี้
-
- น้ำตาที่เกิดจากการระคายเคือง (Reflex Tear)
- น้ำตาที่ทำหน้าที่หล่อลื่นดวงตา (Continuous Tear)
- น้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ (Emotional Tear)
ซึ่งน้ำตาประเภทที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ช่วยระบายความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้น คือน้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ เพราะในน้ำตาชนิดนี้จะมีสาร Oxytocin และ Endorphins ซึ่งทำหน้าที่ผ่อนคลายทั้งด้านร่างกาย และความเจ็บปวดด้านจิตใจ
เมื่อการร้องไห้มีประโยชน์ ใครๆ ก็ร้องไห้ได้ ไม่ใช่คนขี้แพ้
เมื่อการร้องไห้ ได้รับการพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ และความเครียดได้จริง นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าใครก็สามารถร้องไห้ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าการเสียน้ำตา จะมีค่าเท่ากับการเป็นคนขี้แพ้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องทำงาน และเจอกับความเครียดในชีวิต บางคนทำธุรกิจ ต้องรับหน้าที่ตัดสินใจเรื่องยากๆ จนเกิดความกดดัน การเสียน้ำตาระบายเรื่องแย่ๆ ออกจากชีวิต ก็อาจเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะหากปล่อยให้ความเครียดสะสมไว้มากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจในระยะยาว
ที่มา – health.harvard.edu, Entrepreneur
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา