จากสงครามการค้า ถึงสงครามไอที
- สิ่งที่คุณต้องรู้ กรณีผู้บริหาร Huawei โดนจับที่แคนาดา มีความสำคัญกับเรื่องสงครามการค้ายังไง
-
โฆษกรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนกล่าว “หลายๆ ประเทศควรจะเลิกกุเรื่องให้กับ Huawei ได้แล้ว”
ช่วงนี้ Huawei เผชิญปัญหาอย่างหนักในโลกตะวันตก หลายรัฐบาลออกกฎที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย โดยส่วนใหญ่กังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวจากเทคโนโลยีของ Huawei
เรื่องนี้ร้อนขึ้นจนถึงขั้นที่ Ren Zhengfei (เหริน เจิ้งเฟย) ผู้ก่อตั้ง Huawei ที่ไม่ค่อยปรากฏในหน้าสื่อ ต้องออกโรงมาให้สัมภาษณ์ในรอบหลายปี โดยข้อความสำคัญที่พยายามสื่อสารคือ Huawei ไม่เคยช่วยรัฐบาลจีนในการสอดแนมข้อมูล และหลังจากนั้นยังให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนเพื่อสร้างความมั่นใจในเทคโนโลยีของบริษัท โดยบอกว่า หากตะวันตกไม่ซื้ออุปกรณ์ 5G จาก Huawei จะถือเป็นเรื่องที่ “เขลา” มาก
Zhu Min อดีตรองผู้ว่าธนาคารกลางจีน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยชิงหวา (Tsinghua University) มองว่า แม้เม็ดเงินจากจีนอาจจะไม่ลงไปที่แผ่นดินของสหรัฐ แต่ถึงที่สุดความขัดแย้งในครั้งนี้ก็ถือเป็นสงครามทางเทคนิค อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามไอที เพราะมีความเชื่อมต่อกันสูงมาก ดังนั้นหากจีนตัดงบลงทุนในสหรัฐฯ จริง เงินลงทุนจากสหรัฐฯ ก็อาจจะไม่มาลงทุนในจีนก็เป็นได้
“ผมบอกคุณได้เลยว่า หลังจากเหตุการณ์ Huawei ที่เกิดขึ้น เงินจากจีนทั้งหมดจะหยุดการลงทุนใน Silicon Valley และเงินจากสหรัฐฯ ก็จะไม่มาลงทุนในจีนเช่นกัน”
เมื่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญอย่าง John Zhao ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Hony Capital บริษัทสายลงทุนหุ้นว่า จริงหรือไม่ที่จีนจะตัดเม็ดเงินลงทุนใน Silicon Valley เขาบอกว่า “ถ้าดูจากตัวเลข มันก็เป็นเช่นนั้นจริง” แต่เรื่องนี้อยากให้มองลึกลงไป ไม่ใช่แค่ดูจากตัวเลข เพราะอย่างน้อยมันสะท้อนให้เห็นว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมาจากการพึ่งพากันและกัน เพราะฉะนั้นนอกจากการฟาดฟันกันในระยะสั้นแล้ว ต้องมองภาพใหญ่ในระยะยาวให้ออกด้วย
ดูเหมือนว่าการจะหยุดเม็ดเงินลงทุนในยุคนี้อาจไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะถึงอย่างไร ต้องอย่าลืมว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนยักษ์ใหญ่ 3 ค่ายหลักอย่าง Tencent, Alibaba และ Baidu คือหนึ่งในกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของ Silicon Valley
ลองดูกันง่ายๆ เกมยอดฮิตอย่าง Fornite ของบริษัท Epic Games ก็มี Tencent ถือหุ้นอยู่ถึง 40%
ที่มา – CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา