ทีม #WorkFromBed ฟังทางนี้
นโยบาย Work From Home คือหนึ่งในการปรับตัวสำคัญของออฟฟิศทั่วโลกที่ผลักให้คนต้องย้ายที่ทำงานจากออฟฟิศมาอยู่ที่บ้าน และสำหรับหลายๆ คน ก็ยังย้ายจากการทำงานบนโต๊ะมาสู่การทำงานบนเตียงอีกด้วย
หากคุณเป็นทีม #WorkFromBed ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแน่นอน เพราะนี่คือเรื่องแห่งยุคสมัยที่ใครๆ ก็เป็นกัน
ในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาด จากการสำรวจในสหรัฐฯ พบว่าเกือบ 50% ของคนที่ทำงานที่บ้านเคยทำงานบนเตียง แถมสัดส่วนนี้ยังเพิ่มเป็น 72% เมื่อทำการสำรวจอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ปี 2020
- เปิดเทรนด์ 4 พฤติกรรมการทำงาน ที่จะเปลี่ยนไปตลอดกาลเพราะ Work From Home
- 4 วิธีแต่งบ้าน Work From Home ไม่ใช่แค่สวยแต่ลดความเครียดได้
เตียงมีมนต์สะกดต้องใจคนทำงานวัยหนุ่มสาว (อายุระหว่าง 18-34) มากกว่ากลุ่มคนในอายุอื่นๆ ผลสำรวจพบว่า จำนวนชั่วโมงการทำงานบนเตียงของคนหนุ่มสาวคิดเป็น 2 เท่า ของคนอีกกลุ่ม ด้วยเหตุผลที่ว่าคนหนุ่มสาวขาดงบประมาณในการสร้างมุมทำงานที่เหมาะสม และอีกเหตุผลหนึ่งง่ายๆ เลยก็คือ “ความสบาย”
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้ เมื่อ Work From Bed แม้จะสะดวกสบาย แต่กลับทิ้งผลกระทบร้ายแรงไว้ให้กับสุขภาพของเราทั้งในเชิงสรีรศาสตร์และเชิงจิตวิทยา และแม้จะไม่รู้สึกเจ็บป่วยในวันนี้แต่ Work From Bed อาจสร้างผลกระทบสะสมที่อาจจะแสดงอาการอีกทีเมื่อมีอายุมากขึ้นและอาจกลายเป็นผลกระทบเรื้อรัง
Work From Bed สะดวกดี แต่ไม่ถูกหลัก
Susan Hallbeck ผู้อำนวยการวิศวกรรมระบบดูแลสุขภาพจาก Mayo Clenic หนึ่งในศูนย์วิจัยด้านการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ บอกว่า “การทำงานบนเตียงทำให้ร่างกายไม่ได้ถูกรองรับอย่างเหมาะสม”
การทำงานบนเตียงไม่ดีต่อร่างกายและไม่เอื้อต่อการทำงาน เพราะการนั่งหรือนอนบนเตียงแบบผิดลักษณะบนพื้นผิวที่อ่อนนุ่มมากไป ทำให้กล้ามเนื้อคอ หลัง สะโพก และส่วนอื่น เกร็งตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ร่างกายไหลยวบไปตามเตียง
ในระยะยาว ทำให้เกิดการเจ็บสะสมจนมีอาการต่างๆ เช่น
- ปวดหัว
- ปวดคอและปวดหลังเรื้อรัง
- ข้ออักเสบ
- ปวดเชิงกราน
คนทำงานวัยหนุ่มสาวตกเป็นเหยื่อของภัยเงียบอย่างการทำงานบนเตียงมากที่สุด เพราะคนหนุ่มสาวยังมีร่างกายที่แข็งแรงดีและไม่ค่อยรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวทันทีที่ทำงานบนเตียง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผลกระทบไม่เกิดขึ้น เพราะความเจ็บปวดเหล่านี้จะถูกสะสมไปเรื่อยๆ และแสดงอาการออกมาอย่างเด่นชัดเมื่อพวกเขาแก่ตัวลง
สำหรับวิธีการแก้ไข Susan Hallbeck ให้คำแนะนำว่าเมื่อไหร่ที่สามารถเลิกทำงานบนเตียงได้ก็ควรจะเลิกทันที แต่หากไม่สามารถทำได้จริงๆ (อาจเป็นเพราะเรื่องทุนทรัพย์หรือเหตุผลอื่นๆ) ก็ควรทำตามคำแนะนำดังนี้
- นั่งหลังตรง อยู่ในอิริยาบทที่เป็นธรรมชาติ ไม่เกร็งส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
- รองเอวด้วยหมอน เพื่อซัพพอร์ตกระดูกสันหลังส่วนเอว
- ตั้งหน้าจอให้อยู่ในระดับสายตา เพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งหลังค่อม
- ไม่วางคอมพิวเตอร์บนหน้าท้อง เพราะทำให้ต้องเกร็งศอกและคอ
แต่หากแน่ใจว่าต้องทำงานที่บ้านต่อในระยะยาว คำแนะนำก็คือควรลงทุนสร้างมุมทำงานที่เหมาะสม แม้ว่าจะเล็กแค่ไหนก็ตาม ก็ยังดีกว่าการทำงานบนเตียงที่ในระยะยาวอาจไม่คุ้มกับความเจ็บป่วยทางกายที่กู้คืนกลับมาได้ยาก
ไม่เพียงแค่นั้น การทำงานบนเตียงไม่ได้กระทบแค่เรื่องสรีรศาสตร์ แต่กระทบในเชิงจิตวิทยาด้วย
Work From Bed ทำให้สมองลืมว่าต้องนอนแม้อยู่บนเตียง
Rachel Salas รองศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ กล่าวว่า “ยิ่งเราดูโทรทัศน์ เล่นเกม หรือทำอะไรก็ตามที่ไม่ใช่การนอน จะยิ่งเป็นการวางเงื่อนไขทางจิตวิทยาให้ร่างการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ว่าหากอยู่บนเตียงก็สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้” ซึ่งจะค่อยๆ ไปบดบังเงื่อนไขเดิมที่ว่าหากอยู่บนเตียงก็ต้องนอน
พูดง่ายๆ ยิ่งทำงานบนเตียง ร่างกายยิ่งเชื่อมโยงการอยู่บนเตียงกับการทำงาน และยิ่งลืมว่าต้องนอน
นานวันเข้า การทำงานบนเตียงอาจนำไปสู่โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) ไปจนถึงอาการผิดปกติของนาฬิกาชีวภาพ (Circardian Rhythm Disorders) ที่คอยควบคุมจังหวะการหลับและตื่นของเรา และยิ่งนอนหลับไม่เป็นเวลาก็ยิ่งทำให้อ่อนล้า หมดสมาธิ ขาดความสร้างสรรค์ และไร้พลังในการทำงาน ยิ่งทำงานเท่าไหร่ก็ยิ่งทรมาน
วิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้คนต้องกลับมาทำงานที่บ้าน (และหลายคนทำงานบนเตียง) ก็ยิ่งทำให้อาการนอนไม่หลับกลายเป็นปัญหาภาพใหญ่ เกิดภาวะ “Coronosomnia” ที่ยอดผู้มีอาการนอนไม่หลับพุ่งสูงขึ้นในระดับโลก
สรุป
เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าโควิด-19 นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคมแล้ว ยังสร้างแนวโน้มร่วมกันในระดับโลกที่ทำให้คนทำงานทางไกลต้องเผชิญปัญหาสุขภาพทั้งในด้านสรีรศาสตร์และจิตวิทยา
Work From Home จึงกลายเป็นอีกเรื่องที่ต้องขบคิดกันต่อไปในโลกของการทำงาน และที่สำคัญบริษัทและองค์กรต่างๆ ต้องตระหนักถึงปัญหาและสร้างนโยบายการทำงานทางไกลที่เหมาะสม เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
ที่มา – BBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา