สหรัฐฯ ยังไม่หยุดโจมตีจีน พร้อมตำหนิ Hollywood และ Disney ก้มหัวให้จีนมากไป

William P. Barr รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ถือเป็น ผู้นำระดับสูงของสหรัฐฯ อีกคนหนึ่งที่เดินหน้าโจมตีจีน ตามที่เคยกล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่าแต่ละฝ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ จะออกมาเช็คบิลจีนเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ตามด้วย FBI รัฐมนตรีต่างประเทศและล่าสุดคือกระทรวงยุติธรรม จัดหนักจีนไม่พอ ยังประณามวงการ Hollywood และ Disney ตามด้วยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันด้วย 

William P. Barr รัฐมนตรียุติธรรม สหรัฐอเมริกา ภาพจาก Department of Justice

คราวนี้ รัฐมนตรียุติธรรมไม่จัดหนักเฉพาะแค่จีนเท่านั้น แต่ยังตำหนิบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกในบ้านตัวเองด้วย นั่นก็คือ Disney และ Hollywood ตลอดจนบริษัทเทคโนโลยีอีกหลายเจ้าที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของโดนัลด์ ทรัมป์ 

รัฐมนตรียุติธรรมจัดหนักจีน เผด็จการ รวมศูนย์อำนาจ พยายามครอบงำโลก

โดย William P. Barr กล่าวในพิพิธภัณฑ์ประธานาธิบดีฟอร์ด (Gerald R. Ford) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยพูดถึงประเด็นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อนเป็นอันดับแรก โดย Barr อ้างถึงสัปดาห์ที่ผ่านๆ มาที่มี Robert O’Brein ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติที่พูดถึงความทะเยอทะยานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตามด้วย Christopher Wray ผู้อำนวยการ FBI และ Mike Pompeo รัฐมนตรีต่างประเทศ

Barr กล่าวว่า ถ้อยแถลงทั้งหมดที่ทุกคนก่อนหน้ากล่าวมา น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้ชาวอเมริกันได้ทบทวนความสัมพันธ์ที่สหรัฐฯ มีต่อจีนใหม่ ตราบเท่าที่ยังมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนปกครองอยู่ 

การที่เขาได้มาพูดที่พิพิธภัณฑ์ฟอร์ดนี้ มันก็ทำให้รำลึกถึงช่วงเวลาที่อเมริกากลับเข้ามาเกี่ยวพันกับจีนพอดี ซึ่งประธานาธิบดี Nixon เยือนจีนครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี 1972 ตามด้วย 3 ปีให้หลัง ประธานาธิบดีฟอร์ดก็ไปเยือนจีนเพื่อประชุมสุดยอดผู้นำร่วมกันในปี 1975 ซึ่งก็มีเหมา เจ๋อตงอยู่ด้วย 

Mao Zedong, Henry A. Kissinger, Gerald R. Ford Courtesy Gerald R. Ford Library

จากนั้น Barr ก็พูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจาก 2% ของ GDP โลก ในช่วงทศวรรษ 1980 จนปัจจุบันเติบโตมากถึงเกือบ 20% อีกทั้งภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อของจีนก็ใหญ่กว่าสหรัฐฯ แล้ว นอกจากนี้ Barr ยังกล่าวอีกว่า Xi Jinping ยังรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ตัวเองอย่างเข้มข้นแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่หมดยุค Mao Zedong 

จีนเข้าโจมตีทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว รุนแรง และพยายามยึดอำนาจเหนือเศรษฐกิจโลก พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามจะทำตามข้อริเริ่ม “Made in China 2025” โดยใช้อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ด้านหุ่นยนต์ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านการบิน และรถไฟฟ้า โดยมีเงินอุดหนุนนับแสนล้านเหรียญสหรัฐ และข้อริเริ่มนี้ถือเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ 

จีนยังพยายามครอบงำประเทศอื่นด้วยการสร้างเส้นทางการค้าและโครงสร้างพื้นฐานทั้งในยูเรเซีย แอฟริกา และแปซิฟิก จีนพยายามแผ่อำนาจและอิทธิพลผ่านโครงการ Belt and Road 

จีนยังถูกวิพากษ์ถึงการพยายามช่วยเหลือประเทศที่ยากจนเหล่านี้ด้วยการสร้างหนี้ให้ และไม่ยอมเจรจาหากประเทศต่างๆ ไม่มีเงินใช้หนี้ดังกล่าว สุดท้ายก็ยึดโครงการที่ให้ความช่วยเหลือนั้นให้อยู่ในความดูแลของตัวเอง เช่น ท่าเรือของศรีลังกา แค่นั้นไม่พอ จีนยังเตรียมครอบงำโลกด้วยโครงข่ายดิจิทัล ผ่านข้อริเริ่มดิจิทัลสายไหม (Digital Silk Road initiative)

ทั้งตำหนิ ทั้งประณาม Hollywood และ Disney ก้มหัวให้จีน

หลังจากโจมตีจีนอย่างหนักหน่วง Barr ก็พูดถึง วงการ Hollywood จะมีระบบเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในโลก ระบบเซ็นเซอร์ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ภาพยนตร์ที่ฉายในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในสหรัฐอเมริกาด้วย

ตัวอย่างหนังเรื่อง World War Z หนังมหาวิบัติสงครามไวรัสซอมบี้ที่เวอร์ชั่นเดิมไวรัสจะเกิดขึ้นที่จีน โดยเด็กผู้ชายที่มาจากฉงชิ่ง แต่สตูดิโอ Paramount Pictures ให้โปรดิวเซอร์ลบฉากที่อ้างอิงในจีนออกเพราะหวังประโยชน์ที่จะได้เผยแพร่หนังดังกล่าวในจีนได้ 

ตามด้วยหนังเรื่อง Dr.Strange คาแรคเตอร์ตัวหลักของเรื่องคือ Ancient One ซึ่งเป็นจอมเวทย์อาศัยอยู่ในทิเบต หนังเรื่องนี้ก็เปลี่ยนให้มาจากเซลติกแทน โดยผู้เขียนบทให้เหตุผลว่าจะได้ไม่บาดหมางกับผู้คนนับพันล้าน และรัฐบาลจีนอาจไม่ให้ฉายเนื่องจากเหตุผลทางการเมือง 

2 ตัวอย่างนี้ทำให้เห็นว่า หนังของ Hollywood ถูกเปลี่ยนแปลงตามโฆษณาชวนเชื่อของจีน นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานที่ทำให้เห็นว่ามีการพึ่งพาทางการเงินของจีนอย่างจริงจัง กล่าวคือ หนังที่มีนักลงทุนชาวจีนในปี 2018 ถือเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายตั๋วหนังจาก box office เปรียบเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้านี้มีแค่เพียง 3.8% เท่านั้น 

Barr พูดถึง Disney โดยยกตัวอย่างตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มา และระบุว่า Disney มีการเผยแพร่หนังที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อรัฐบาล โดยในช่วงสงคราม หนังของ Disney จะมีเหล่าพนักงานกว่า 90% ที่จะทำงานอุทิศตนเพื่อทำหนังแนวนี้  แต่เมื่อปี 1997 Disney ก็ผลิตหนัง Kundun ซึ่งเกี่ยวข้องกับองค์ดาไลลามะ 

Disney ถูกจีนกดดันอย่างหนักหน่วง แม้ช่วงแรกจะติดสินใจทำหนังต่อไปและไม่ปล่อยให้อำนาจจากต่างประเทศเข้าครอบงำ แทรกแซง แต่สุดท้าย พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็แบนหนังของ Disney ในจีน จนทำให้บริษัทถูกการล็อบบี้ให้ยากต่อการเผยแพร่หนังในจีน สุดท้าย CEO ของ Disney ต้องออกมาขอโทษ และระบุว่า เป็นเรื่องความเข้าใจผิดที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไร

จากนั้น Disney ก็ร่วมทุนกับจีน สร้าง Disney Park ที่เซี่ยงไฮ้ (ขนาดใหญ่เกือบ 1,000 เอเคอร์ หรือประมาณ 2,530 ไร่ ขนาดใหญ่กว่า Hong Kong Disney โดย Disney ครอบครองกรรมสิทธิในพื้นที่ 43% จีน 57%) มูลค่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.58 แสนล้านบาท 

Disney ยินยอมให้จีนมีบทบาทในการจัดการ ในพื้นที่แห่งนี้มีพนักงานประจำราว 11,000 คน ในจำนวนนี้มีคนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนราว 300 คน 

Shanghai Disneyland Park, Wikimedia By MasaneMiyaPA

Disney และบริษัทสัญชาติอเมริกันทั้งหลายนี้ ต้องทำความเข้าใจวิธีคิดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พวกเขากำลังยอมจีนมากเกินไป จีนกำลังสูญเสียความน่าเชื่อถือจากทั่วโลก

ไม่ใช่แค่วงการภาพยนตร์ วงการเทคโนโลยีก็พยายามจะเข้าหาจีน

ทั้งหมดทั้งมวลที่ William Barr กล่าวมานั้น มีทั้งการโจมตีจีนอย่างหนักหน่วงถึงจุดยืนจีนที่มีบนเวทีโลกทั้งในแง่ความมั่นคงและในแง่เศรษฐกิจ และยังตำหนิบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ผลิตหนังหรือภาพยนตร์ออกมาด้วยความเกรงใจจีน แน่นอนว่าถ้าเข้าฉายในจีนไม่ได้ ก็ทำให้สูญเสียเม็ดเงินจากผู้ชมกว่า 1,000 ล้านราย

Barr ไม่ได้ตำหนิแค่วงการภาพยนตร์ที่มีแค่ Hollywood และ Disney เท่านั้น แต่ยังตำหนิเหล่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่มีทั้ง Google Microsoft Yahoo ไปจนถึง Apple ที่พยายามปรับตัวเข้าหาจีนให้ความร่วมมือกับจีน โดยยกตัวอย่างการที่ Apple ลบแอปพลิเคชันที่เป็นแอปฯ ข่าว Quartz ออกจาก app store ในจีน หลังรัฐบาลจีนตำหนิเรื่องข่าวเกี่ยวกับการประท้วงในฮ่องกง เป็นต้น

จากนั้น Barr ก็สรุปว่า เพื่อรักษาโลกแห่งเสรีภาพและความมั่งคั่งที่จะเกิดแก่ลูกหลานของเรา โลกแห่งเสรีภาพนี้ต้องต่อต้านการพยายามครอบงำดังกล่าวข้างต้น เขามั่นใจว่า คนอเมริกัน รัฐบาลอเมริกัน และองค์กรธุรกิจต่างๆ จะสามารถทำงานร่วมกันได้ มาร่วมกันสร้างอีกครั้ง เพราะเสรีภาพเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเรา

Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ภาพจาก The White House

ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งทีมรัฐบาลเปิดหน้าโจมตีจีนหนักขนาดนี้ ทรัมป์จะดึงชาติพันธมิตรใดเข้าร่วมมือได้อีกนอกเหนือจากอังกฤษแบนหัวเว่ยหรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็พยายามเชื้อชวนให้เหล่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบนจีนและเรียกร้องให้แก้ปัญหาทะเลจีนใต้ผ่านกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ให้จีนครอบงำอยู่ฝ่ายเดียว

ขณะนี้หลายฝ่ายเฝ้ามองแคนาดาว่าจะแบน 5G หรือไม่ จีนจะตอบโต้อย่างไร เหล่านี้ล้วนกระทบผลประโยชน์แห่งชาติของประเทศต่างๆ ที่พึ่งพาสองประเทศนี้ทั้งสิ้น

ที่มา – Department of Justice, Forbes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา