รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้กล่าวถึงเรื่องรัฐบาลเตรียมออกใบอนุญาตให้บริษัทเอกชนขายสินค้าให้ หัวเว่ย ได้ในเร็วๆ นี้ รวมถึงมองโลกในแง่ดีระหว่างการเจรจาการค้ากับจีนด้วย
วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ถึงเรื่องของกรณีที่สหรัฐฯ เตรียมที่จะออกใบอนุญาตให้เอกชนสามารถขายสินค้าให้กับ “หัวเว่ย” โดยที่ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้กล่าวว่าใบอนุญาตจะสามารถออกได้ภายในเร็วๆ นี้
- รัฐบาลสหรัฐเตรียมออกใบอนุญาตให้บริษัทเอกชนสามารถซื้อขายผลิตภัณฑ์กับ Huawei ได้
- สหรัฐออกคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยความมั่นคง “หัวเว่ย” ชี้สหรัฐจะล้าหลังทันที
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้กล่าวถึงเรื่องทำเรื่องยื่นขอใบอนุญาตว่า “มีการพิจารณาในเรื่องนี้มานานถึง 1 ปีแล้ว” ก่อนหน้านี้มีข่าวที่ว่าอุปกรณ์โทรคมนาคมของหัวเว่ยอาจเป็นจุดอ่อนที่ทำให้จีนสามารถใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังได้กล่าวถึงว่าเอกชนสหรัฐฯ ได้ทำเรื่องยื่นขอใบอนุญาตนี้กว่า 260 รายแก่รัฐบาลสหรัฐฯ มากกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ คาดไว้มาก ซึ่งสหรัฐฯ จะพิจารณาคำร้องขอของบริษัทเอกชนสหรัฐฯ นี้เป็นรายๆ ไปว่า รายไหนอาจมีความเสี่ยงก็อาจไม่ออกใบอนุญาตให้
สหรัฐฯ ได้ขีดเส้นตายให้หัวเว่ยสามารถซื้อสินค้าได้จนถึงวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดได้ต่อเวลาเพิ่มไปอีก 90 วัน โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ได้เริ่มพิจารณาการออกใบอนุญาตนี้แล้ว
อย่างไรก็ดีในอุตสาหกรรมในการผลิตสินค้าไฮเทคนั้นบริษัทเอกชนสหรัฐฯ มีความกังวลว่าถ้าหากรัฐบาลไม่ออกใบอนุญาตให้เอกชนรายนั้นๆ เพราะกังวลเรื่องของความมั่นคงแล้ว ท้ายที่สุดหัวเว่ยเองก็สามารถไปหาสินค้าจากผู้ผลิตจากที่อื่นได้ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ไต้หวัน เป็นต้น
นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังมองโลกในแง่ดีถึงเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในเฟสแรกว่ามีความคืบหน้าไปได้มากแล้ว ซึ่ง 1 ในเงื่อนไขดังกล่าวคือ จีนจะยอมซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังคาดว่าจะสามารถปิดดีลการเจรจาได้ภายในเดือนนี้ด้วย
ที่มา – CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา