UN ถอดกัญชาออกจากบัญชีสารเสพติดอันตราย เปิดโอกาสสำหรับการรักษาโรคและอุตสาหกรรมในอนาคต

องค์การสหประชาชาติ (UN) ผ่านมติด้วยผลโหวต 27 ต่อ 25 ปลดล็อคกัญชาออกจากตารางที่ 4 ของการจัดหมวดหมู่สารเสพติดภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยสารเสพติดในตารางที่ 4 ถือว่าเป็นเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดในโลกตามความหมายของอนุสัญญาดังกล่าว ก่อนหน้านี้กัญชาจึงถูกจัดว่ามีความร้ายแรงในระดับเดียวกันกับเฮโรอีน

ก้าวใหญ่ที่มาช้าของวงการแพทย์และการวิจัย

ความเคลื่อนไหวในการปลดล็อคกัญชาครั้งนี้นับว่าล่าช้าอย่างมากเมื่อเทียบกับความคาดหวังที่จะให้ปลดล็อคเพื่อขยายขอบเขตในการวิจัยและการนำมาใช้ในทางการแพทย์ต่อไป 

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การปลดล็อคกัญชาในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมาก เปรียบเสมือนชัยชนะในเชิงสัญลักษณ์ของผู้สนับสนุนการใช้กัญชา เนื่องจากการปลดล็อคในครั้งนี้เปรียบเสมือนการยอมรับ “คุณค่าทางการแพทย์” ของกัญชา และเป็นการประกาศว่ากฎหมายที่ห้ามใช้กัญชาอย่างเข้มข้นนั้นล้าหลัง

Kenzi Riboulet-Zemouli นักวิจัยอิสระด้านนโยบายยากล่าวว่า จริงๆ แล้ว กัญชานั้นถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านการแพทย์มาตลอดช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของสหประชาชาติเป็นการตอกย้ำสถานะดังกล่าวของกัญชา

ส่วน Alfredo Pascual นักวิเคราะห์ของ Marijuana Business Daily การปลดล็อคถือเป็นการรับรองว่ากัญชามีสรรพคุณในการรักษาโรค และเป็นการยอมรับกลายๆ ว่ากัญชาไม่ได้อันตรายเท่าที่เชื่อกันมาก่อนหน้านี้ 60 ปี (นับตั้งแต่บรรจุกัญชาเป็นสารเสพติดอันตรายในอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961)

อุตสาหกรรมสีเขียว อุตสาหกรรมแห่งอนาคต?

กระแสการใช้กัญชาในทางการแพทย์เพิ่งบูมขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับที่ประเทศไทยมีการปลดล็อคกัญชงเพื่อการแพทย์ในช่วงรัฐบาลปัจจุบันซึ่งถึงแม้จะยังไม่ถือว่าเป็นเสรีกัญาชาอย่างเต็มรูปแบบแต่ก็พอจะให้ภาพแนวโน้มที่เติบโตขึ้นของกระแสกัญชา 

Cowen บริษัทให้บริการด้านการลงทุนและการเงินกล่าวว่ามีการใช้ Cannabidiol (สารสกัดกัญชารูปหนึ่ง) หรือ CBD มากขึ้นเรื่อยๆ ในอุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพ 

Cowen ยังประมาณการว่า อุตสาหกรรม CBD จะมีมูลค่ากว่าหมื่นหกพันล้านเหรีญสหรัฐฯ ภายในปี 2025 ส่วนบริษัทที่ปรึกษาเจ้าอื่นๆ เช่น New Frontier Data ก็ให้ภาพแนวโน้มของอุตสาหกรรมกัญชาในลักษณะเดียวกัน คือจะเติบโตอย่างมากหลังปี 2020 ถึงขั้นที่ว่าอาจจะแซงตลาดน้ำอัดลมซึ่งหดตัวลงเรื่อยๆ สวนทางกัญชา ภายในปี 2030

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Cowen ให้มุมมองไว้ว่า “การเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชา คือข่าวร้ายของอุตสาหกรรมเบียร์” แม้ขนาดอุตสาหกรรมเบียร์และกัญชาจะยังต่างกันมากในสหรัฐ เนื่องจากอุตสาหกรรมกัญชาเล็กกว่าถึง 3 เท่า แต่อัตราการเติบโตของบริษัทกัญชาเจ้าใหญ่ อย่าง Aurora Cannabis และ Canopy Growth เติบโตขึ้นอย่างต่ำ 200% 

มากไปกว่านั้น ในมลรัฐของสหรัฐฯ ที่ผู้คนเข้าถึงกัญชาได้อย่างถูกต้อง 80% ของผู้บริโภคกัญชามีการบริโภคแอลกอฮอล์ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

ที่มา – CNN, NYTimes

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

บาส รชต สนิท - นักข่าว นักเขียน ที่ Brand Inside | สนใจด้าน Future of Work, สิทธิคนทำงาน, สิ่งแวดล้อม, การเมืองโลก, ปัญหาทุนนิยม และ สิทธิมนุษยชน