วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา โหวตลงมติการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (impeachment) ผลเป็นไปตามความคาดหมาย เพราะวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ ร่วมใจกันโหวตไม่เอาผิดทรัมป์ ทำให้ข้อหาตกไป
บทความก่อนหน้านี้ วิเคราะห์โอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกถอดถอน Impeachment
วุฒิสภาของสหรัฐอเมริกามีจำนวนทั้งหมด 100 เสียง (ตัวแทนจาก 50 รัฐ รัฐละ 2 คน) ปัจจุบัน พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก 53 เสียง ในขณะที่พรรคเดโมแครตมี 45 เสียง บวกกับวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 เสียง
ทรัมป์ โดนเอาผิดใน 2 ข้อหาคือ ใช้อำนาจในทางที่ผิด (abuse of power) จากกรณียูเครน และขัดขวางการสอบสวนของสภาคองเกรส (obstruction of Congress)
วุฒิสภาโหวตคว่ำข้อหาแรกด้วยคะแนน 52-48 และข้อหาที่สองด้วยคะแนน 53-47 โดยบุคคลจากพรรครีพับลิกันที่หันไปโหวตช่วยฝั่งเดโมแครตในข้อหาแรกคือ Mitt Romney วุฒิสมาชิกจากรัฐยูทาห์ และอดีตผู้สมัครประธานาธิบดีในปี 2012 ที่แพ้ให้กับบารัค โอบามา ในการเลือกตั้งสมัยที่สอง
Romney ประกาศล่วงหน้าว่าเขาจะโหวตเอาผิดทรัมป์ โดยให้เหตุผลว่าเชื่อในหลักฐานของฝ่าย ส.ส. พรรคเดโมแครตว่าทรัมป์ทำผิดจริงๆ เพราะต้องการโค่นคู่แข่ง Joe Biden ในฐานะตัวเต็งคู่ชิงประธานาธิบดีกับเขา ตัวของ Romney ทราบดีว่าเสียงโหวตของเขาเพียงเสียงเดียว ไม่สามารถช่วยให้เอาผิดทรัมป์ได้ แต่เขาก็ต้องการแสดงออกให้เห็นว่าเขายืนอยู่ฝั่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาแต่ช่วยเหลือพวกเดียวกันเอง – CNN
หลังการโหวตเสร็จสิ้นไม่นาน ทรัมป์ออกมาโพสต์คลิปโจมตี Romney ผ่านทวิตเตอร์ว่าเป็นคนกลับกลอก (slippery & slip) รวมถึงโพสต์คลิปที่แสดงว่าเขาจะชนะการเลือกตั้งไปอีกนาน แม้จะสามารถเป็นประธานาธิบดีได้นานสูงสุดถึงแค่ปี 2024 ก็ตาม
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) February 5, 2020
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) February 5, 2020
ถึงแม้การลงมติของวุฒิสภาสหรัฐจะเป็นไปตามความคาดหมาย นั่นคือ พรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากจะปกป้องประธานาธิบดีจากพรรคตัวเอง (ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนที่สามที่ถูกอิมพีชเมนต์ และยังไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนถูกโหวตให้ออกจากตำแหน่งเลย) แต่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีก็เป็นหนามตำใจทรัมป์มาตลอดในช่วงหลายเดือนนี้
การที่เขาหลุดข้อหาอย่างเป็นทางการ ช่วยให้ทรัมป์ปลดล็อคอุปสรรคในระยะสั้น และสามารถไปโฟกัสที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีช่วงปลายปีนี้ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
ที่มา – Reuters
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา