รู้จัก TIKI อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ อนาคตยูนิคอร์นรายต่อไปของเวียดนาม

อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็วช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 

คำถามคือบริษัทอะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ ?

TIKI

ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซเวียดนาม

นับตั้งแต่เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของ COVID-19 เวียดนามได้กลายเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะในไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา จำนวนการช้อปปิ้งออนไลน์ทางโทรศัพท์เพียงอย่างเดียวก็ทำสถิติสูงถึง 12.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแสดงถึงอัตราการเติบโต 43% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยช่วงไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 2 เพียง 40% เท่านั้น

ตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนามมีสัดส่วนเพียง 4% ของตลาดค้าปลีกทั้งประเทศ ซึ่งมีมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นโอกาสเติบโตของ TIKI สตาร์ทอัพสายอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในเวียดนาม โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาก็มีผู้เข้าใช้งานแพลตฟอร์ม TIKI กว่า 22.3 ล้านครั้งต่อเดือน 

TIKI กำลังจะระดมทุนเพิ่มอีก 150-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าทำสำเร็จนี่จะเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีของเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม TIKI เคยระดมทุนจากบริษัทต่างๆ ทั่วเอเชีย ทั้ง Sumitomo, JD.com, Temasek Holdings, VNG, InnoVen Capital และ Northstar Group รวมถึงมีแผนจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ท้องถิ่นภายในปี 2023 อีกด้วย

  • คำถามคือ TIKI เป็นใคร มีที่มาอย่างไร เราไปทำความเข้าใจ TIKI ให้มากขึ้นดีกว่า

เปิดประวัติอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ขวัญใจชาวเวียดนาม

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 Son Tran ผู้ก่อตั้งและซีอีโอคนปัจจุบันของ TIKI ได้เริ่มตั้งต้นธุรกิจโดยการขายหนังสือออนไลน์ จนมีคนขนานนามว่า TIKI เป็น Amazon แห่งประเทศเวียดนาม 

แม้ในตอนนั้นเวียดนามจะมีแพลตฟอร์มขายหนังสือออนไลน์อย่าง Vinabook อยู่แล้ว แต่ Vinabook มีจุดอ่อนคือขายแค่หนังสือภาษาเวียดนามเพียงอย่างเดียว

Son Tran มองเห็นโอกาสจึงเริ่มนำเข้าหนังสือต่างประเทศ 100 เล่มแรก ใช้โรงจอดรถและห้องนอนเป็นสต็อคสินค้า และมีทีมงานเพียง 3 คนที่ขับมอเตอร์ไซค์ส่งหนังสือ

นอกจากนั้น Son Tran ยังไปที่ร้านหนังสือเพื่อสังเกตพฤติกรรมนักอ่าน และพบว่าผู้หญิงซื้อหนังสือมากกว่าผู้ชาย เขาจึงเน้นทำโฆษณาเจาะกลุ่มผู้หญิงเป็นหลัก

TIKI
ทีมงาน TIKI

หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนักถึงสองปี TIKI ได้รับการโหวตให้เป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่บริการดูแลลูกค้าและมีบริการจัดส่งที่ดีที่สุด Son Tran รู้สึกภูมิใจ และเล่าว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในการทำสิ่งดีๆ เหล่านี้จากหนังสือ Delivering Happiness ของ Tony Hsieh นั่นเอง

ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะเมื่อ Son Tran เล็งเห็นว่าตลาดออนไลน์กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเริ่มนำสินค้าอื่นๆ มาขายบนแพลตฟอร์ม TIKI ด้วย เช่น หนังสือ โทรศัพท์ แท็บเล็ต อุปกรณ์ดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เครื่องเขียน ของเล่น และเสื้อผ้าแฟชั่น 

ก้าวต่อไปที่น่าจับตามองของ TIKI

Son Tran เข้าใจดีว่าผู้บริโภคชาวเวียดนามต้องการความคุ้มค่าและตัวเลือกสินค้าที่มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความสะดวกหรือการจัดส่งที่รวดเร็วเพียงอย่างเดียว ทาง TIKI จึงตัดสินค้าคุณภาพไม่ดีออกไป และใช้กลยุทธ์ ส่งสินค้าภายใน 2 ชั่วโมง มาเจาะตลาดลูกค้าในเมืองใหญ่กว่า 40 ล้านคนที่พร้อมจ่ายเงินเพิ่มเติม 

ในขณะเดียวกัน ลูกค้าต่างจังหวัดของเวียดนามก็พร้อมรอสินค้ามาถึงด้วยระยะเวลาที่นานขึ้นหากได้รับบริการส่งฟรี ซึ่งทาง TIKI มองว่าอีก 2-3 ปีต่อจากนี้ตลาดออนไลน์ในต่างจังหวัดของเวียดนามจะเติบโตขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกับประเทศจีน

TIKI

ยิ่งไปกว่านั้น ทาง TIKI ยังนำเสนอบริการอื่นๆ อีก เช่น 

  • บริการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TIKI PRO 
  • บริการส่งฟรีและส่งรวดเร็ว 100% ในสามเมืองใหญ่ TIKI NOW 
  • บริการเน้นขายผัก ผลไม้ อาหารสด TIKI NGON 
  • บริการจำหน่ายตั๋วออนไลน์ Ticketbox 

สรุป

ความสำเร็จทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า TIKI มีโอกาสสูงที่จะเป็นยูนิคอร์นรายต่อไปของเวียดนาม ต่อจากยูนิคอร์นรุ่นพี่อย่าง VNG ที่บริหารธุรกิจดิจิทัล คลาวด์ โฆษณา มีเดีย และ VNPAY ที่ให้บริการชำระเงินออนไลน์

นอกจากนี้ ในอาเซียนของเรายังมีอีคอมเมิร์ซระดับยูนิคอร์นอีก เช่น GoTo (เกิดจากการควบรวมกันของ Gojek กับ Tokopedia) และ Bukalapak จากประเทศอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าอีคอมเมิร์ซจีนยักษ์ใหญ่อย่าง Lazada หรือ Shopee ก็ยังคงครองส่วนแบ่งก้อนใหญ่ในตลาดออนไลน์ของหลายๆ ประเทศอยู่ดี

คำถามต่อไปคือ ประเทศไทยของเราอยู่จุดไหนในการแข่งขันของสงครามอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ สามารถหาคำตอบได้ในคลิปด้านล่างนี้ หรือว่าศึกอีคอมเมิร์ซไทย สุดท้ายก็เป็นได้แค่สงครามตัวแทนของจีน?

ที่มา : Nextbn, vietchallenge, techinasia, vnexpress, TIKI

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา